นักวิชาการทึ่งชาวบ้านจัดการน้ำดีกว่ารัฐ
สำนักข่าวประชาธรรม : รายงาน
สกลนคร/เปิดเวทีถถทางเลือกการจัดการน้ำในอีสาน
นักวิชาการทึ่งชาวบ้านมีความรู้จัดการน้ำเพียบ สามารถหาแหล่งน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปีไม่ขาด
แถมเหมาะสมกับท้องถิ่น และภูมินิเวศน์ ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม
ชี้จัดการมีประสิทธิดีกว่ารัฐ หมดเวลารัฐผูกขาดความรู้การจัดการน้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังจากที่ทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ซึ่งนำโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ ร่วมเดินเท้ากับสมัชชาคนจนมุ่งหน้าสู่จ.สกลนคร
เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนท้องถิ่นเห็นความสำคัญของทางเลือกการจัดการน้ำในภาคอีสาน
และในระหว่างวันที่ 27-28 เมษายนที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ร่วมกับประชาสังคมจังหวัดสกลนคร
สมัชชาคนจน และองค์กรพัฒนาเอกชนในภาคอีสานได้เปิดเวทีวิชาการเรื่อง
ทางเลือกการจัดการน้ำในภาคอีสาน ณ ห้องประชุมคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์
สถาบันราชภัฎ จ.สกลนคร ซึ่งมีบรรดานักวิชาการ ชาวบ้านในภาคอีสาน สมัชชาคนจน กลุ่มเกษตรกรรรมยั่งยืน จ.สกลนครเข้าร่วมแลกเปลี่ยนกว่า
200 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเวทีสัมมนาตัวแทนชาวบ้านได้นำเสนอองค์ความรู้ของชาวบ้านภาคอีสานในการจัดการทรัพยากรน้ำ
ซึ่งพบว่ามีหลากหลายรูปแบบมาก เช่น ระบบเหมือง การใช้หลุก เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก
และการเก็บน้ำในบ่อผิวดิน เป็นต้น โดยแต่ละรูปแบบสอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์
และระบบนิเวศน์ของท้องถิ่น และภูมิปัญญาของชาวบ้านในการใช้ประโยชน์จากน้ำ
ซึ่งในเวทีต่างเห็นว่าแตกต่างไปจากระบบชลประทานของรัฐที่มุ่งทำโครงการขนาดใหญ่และส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม
ระบบนิเวศน์ลุ่มน้ำ ท้ายที่สุดก็ทำให้ชาวบ้านต้องเป็นผู้รับภาระความสูญเสีย
และผลกระทบทั้งหมด
ในเวทีได้มีการเแลกเปลี่ยนกรณีการจัดการน้ำในเขตป่าบุ่งป่าทาม
ซึ่งเป็นระบบนิเวศน์เฉพาะท้องถิ่นในภาคอีสาน แต่เดิมชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตป่าบุ่งป่าทามจะใช้เครื่องสูบน้ำขนาดเล็กตามความเหมาะสม
สูบน้ำขึ้นมาใช้ในการเกษตร โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงระบบชลประทานขนาดใหญ่
แต่เดิมในฤดูน้ำหลากชาวบ้านจะประกอบอาชีพประมงทำรายได้ไม่ต่ำกว่าครอบครัวละ
10,000 บาท นอกฤดูน้ำหลาก พื้นที่ดังกล่าวชาวบ้านจะใช้ทำนา
ซึ่งได้ผลผลิตถึงไร่ละ 400-600 กิโลกรัมต่อไร่ เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์มาก
แต่การสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ได้ทำลายระบบนิเวศน์ของป่าบุ่งป่าทาม
และพื้นที่ทำมาหากินของชาวบ้านไปจนหมดสิ้น นอกจากทำงานยสิ่งแวดล้อมแล้วยังทำลายวัฒนธรรมชุมชนในการอยู่อาศัยร่วมกันด้วย
นายไพจิตร ศิลารักษ์ แกนนำสมัชชาคนจนผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนราษีไศลกล่าวว่าการสร้างเขื่อนทำให้ป่าบุ่งป่าทามจมอยู่ใต้น้ำ
เด็กหนุ่มสาวต้องออกไปหางานทำในเมือง แม้ว่าตอนนี้จะเปิดประตูเขื่อนราษีไศลแล้ว
ทำให้ชุมชนเริ่มกลับมามีชีวิตใหม่ แต่ก็ยังไม่มีความมั่นใจว่ารัฐจะปิดประตูเขื่อนอีกเมื่อไหร่
จึงไม่มีความมั่นใจว่าลงทุนลงแรงเต็มที่นัก
นอกจากนี้ในเวทีชาวบ้านยังได้มีการนำเสนอความรู้การจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็ก
โดยใช้ประโยชน์จาก กุด หรือพื้นที่หนองน้ำขังอยู่ในที่ลุ่มของลำน้ำภายหลังจากพ้นฤดูน้ำหลาก
เป็นแหล่งน้ำที่กระจายอยู่โดยทั่วไปในภาคอีสานและมีน้ำอยู่ตลอดทั้งปี
ซึ่งถือเป็นแหล่งน้ำด้านการเกษตร แหล่งอาหารของชุมชน
นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำใต้ดินได้แก่น้ำบ่อตามธรรมชาติ และน้ำบ่อที่ชาวบ้านทำขึ้น
ซึ่งชุมชนจะมีวัฒนธรรมการใช้ และดูแลรักษาร่วมกัน ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล
แต่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของทั้งชุมชน ชาวบ้านจะมีความรู้ในการจัดหาแหล่งน้ำ
มีการแบ่งประเภทของบ่อน้ำ และการใช้ประโยชน์ มีการร่วมกันขุดคลองเชื่อมจากแหล่งน้ำผุดเพื่อให้มีน้ำไหลไปยังพื้นที่ต่าง
ๆ ทั่วชุมชน และยังมีความรู้ในการขุดสระน้ำขนาดเล็กเพื่อกักเก็บไว้ใช้ในการเกษตรได้ตลอดทั้งปี
เป็นต้น
ภายหลังการรับฟังประสบการณ์ของชุมชนในการจัดการน้ำแล้ว
นายชัชวาล บุญปัน นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้กล่าวแสดงความเห็นว่า
เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากที่ชาวบ้านมีองค์ความรู้ วัฒนธรรมในการใช้น้ำอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ
และยืนยันได้ว่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความรู้ของตนเอง สะท้อนให้เห็นว่าชาวบ้านมีความรู้ในการจัดการน้ำเช่นกัน
และยังจัดการได้มีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐอีกด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐ
หรือสถาบันต่าง ๆ ของรัฐจะปฏิเสธไม่ได้ว่าชาวบ้านไม่มีความรู้ในการจัดการทรัพยากร
และหมดเวลาแล้วที่รัฐจะเป็นผู้จัดการทรัพยากรปแต่เพียงฝ่ายเดียว
ด้านนายสนธิ บุญโญทญาณ เกษตรจังหวัดนครพนมกล่าวว่าระบบชลประทานขนาดใหญ่ของประเทศไทยเลียนแบบมาจากประเทศอเมริกา
ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของเมืองไทย ตนเองนั้นยืนยันได้ว่าระบบชลประทานขนาดเล็กนั้นเหมาะสมกับเมืองไทย
ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม และทะเลาะกับชาวบ้านด้วย ซึ่งตนเองคิดว่าคงต้องต่อสู้ความคิดกับราชการอย่างหนัก
เพราะราชการส่วนใหญ่ยังมีแนวคิดที่สนับสนุนระบบชลประทานขนาดใหญ่
แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้ต่อไป. |