ผ่า
มติ ครม.๒๕ กรกฎาคม : มติที่ไม่ยุติธรรมต่อคนจน
ฝ่ายวิชาการ
สมัชชาคนจน
๖ กรกฎาคม ๒๕๔๓
มติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน
๑๖ กรณี เมื่อวันที่ ๒๕
กรกฎาคม ๒๕๔๓ ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย ได้
ถูกรัฐบาลโฆษณาโดยใช้สื่อของรัฐและความเหนือชั้นทางการเมืองเข้าบิดเบือนเพื่อทำให้สังคมไทยเชื่อว่า
เป็นมติที่รัฐบาลให้ได้มากที่สุดแล้ว
ส่วนที่ไม่ให้นั้นเป็นเพราะติดหลักการที่ไม่ต้องการนำภาษีประชาชนมาจ่ายกับคนส่วนน้อย
สมัชชาคนจนจึงจำเป็รต้องเปิดเผยให้สังคมไทย
เห็นว่า มติ ครม. ๒๕
กรกฎาคมนั้น นอกจากไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหา
๑๖
กรณีของสมัชชาคนจนอย่างที่รัฐกล่าวอ้างแต่ประการใด มตินี้ยัง
เป็นมติที่ไม่ยุติธรรมต่อคนจนทั้งในนามของสมัชชาคนจนและคนจนโดยส่วนใหญ่ของสังคมไทย
เหตุผลที่สมัชชาคนจนเห็นว่ารัฐบาลนี้มีมติที่ไม่ยุติต่อคนจนก็คือ
ประการแรก คณะรัฐมนตรีไม่ได้นำมติคณะกรรมการกลางซึ่งตั้งโดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมาหดไทยเข้าพิจารณา
ทั้งหมดโดยเลือกเอาเฉพาะมาตรการเร่งด่วนบางส่วนและมาตรการระยะสั้นเข้าสู่การพิจารณา
ของ ครม.เท่านั้น
ข้อเสนอของคณะกรรมการ
กลางที่สำคัญที่รัฐบาลไม่นำเข้าสู่การพิจารณาก็คือ
๑.ไม่นำมาตรการเร่งด่วนที่คณะกรรมการเสนอให้รัฐบาลควรสั่งการให้ยุติการจับกุมชาวบ้านหรือผู้นำชุมนุมเข้าพิจารณาของ
ครม. ซึ่งเท่ากับ
รัฐบาลนี้จะดำเนินคดีกับคนจนต่อไป
๒.ไม่ได้นำมาตรการระยะยาวซึ่งเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเขื่อนอย่างถาวรเข้าสู่การพิจารณาของ
ครม. ได้แก่
มาตรการระยะยาวเรื่องเขื่อน
ที่เสนอให้รัฐต้องทำให้ชาวบ้านมีวิถีชีวิตใกล้เคียงของเดิม ให้ยุติการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ทุกเขื่อนที่อยู่ในแผนจนกว่าจะมีการกำหนดมาตรการ
ในการศึกษาผลกระทบและความคุ้มทุนและ
มาตรการในการพิจารณาอนุมัติโครงการที่รอบคอบและเป็นธรรมมากกว่านี้ การเสนอให้มีการ
ปรับปรุงการศึกษาผลกระทบ และการมีส่วนร่วมของประชาชน
เป็นต้น
๓.ไม่ได้นำมาตรการระยะยาวซึ่งเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาป่าไม้ที่ดินอย่างถาวรเข้าสู่การพิจารณาของ
ครม. อันได้แก่ให้รัฐบาล
ทบทวนมติ ครม.๓๐ มิถุนายน
๒๕๔๑ และทบทวนแก้ไขปรับปรุงกฎหมายป่าไม้ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
การไม่นำข้อเสนอของคณะกรรมการกลางที่เป็นมาตรการมาตรการเร่งด่วนและมาตรการระยะยาวเข้าสู่การพิจารณาของ
ครม.จึงไม่สามารถ
แก้ไขปัญหาของสมัชชาคนได้อย่างแท้จริง
ประการที่สอง
ข้อเสนอมาตรการระยะสั้นของคณะกรรมการกลางที่ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของ
ครม.
นั้นได้ถูกตัดตอนโดยตัดสาระสำคัญออก
ไป ดังนั้นการระบุว่าในมติ
ครม.ว่าเห็นชอบนั้นแท้ที่จริงแล้วจึงมิได้เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลาง ยิ่งไปกว่านั้น ครม.ยังได้
เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญและสอดใส้สาระอื่นเข้ามาแทนที่จนทำให้เจตนารมย์การแก้ปัญหาของคณะกรรมการกลาง
ถูกบิดเบือนจนกระทั่ง
ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ก็ยังมีข้อสงสัยว่า
การเปลี่ยนแปลงสาระนั้นอาจมาจากที่รัฐบาลกลับไปรับฟังข้าราชการประจำอีกครั้ง ซึ่งเท่ากับไม่เคารพต่อคณะกรรมการกลางซึ่งตั้งขึ้นมาโดยรัฐบาลเองตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับสมัชชาคนจน
ด้วยเหตุนี้มติคณะรัฐมนตรีที่ระบุว่าเห็นชอบนั้นจึงมิได้นำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริงถึง
๑๕ กรณี
จากทั้งหมดที่คณะกรรมการกลางเสนอ
๑๖ กรณี ยกเว้น
กรณีบ้านวังใหม่เท่านั้น
ประการที่สาม
สำหรับกรณีที่มติ ครม.ไม่เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลางนั้นเป็นที่ชัดเจนว่า
คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยอ้าง
หลักการที่ไม่ได้คำนึงถึงความยุติธรรมรวมทั้งไม่รู้ข้อเท็จจริง
ดังกรณีตัวอย่างเช่น
กรณีเขื่อนห้วยละห้า
ครม.มีมติไม่เห็นด้วยกับการพิสูจน์สิทธิและชดใช้ความเสียหายโดยอ้างว่าเป็นโครงการชลประทานขนาดเล็กสร้าง
ขึ้นตาม
ข้อเรียกร้องของราษฎร
เป็นความต้องการและตกลงกันในท้องถิ่น และทางราชการไม่เคยจ่ายค่าชดเชย
ทั้ง ๆ
ที่ปัญหานี้เกิดจากการดำเนินการ
ของ รพช.ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และผู้เดือดร้อนไม่ยินยอมให้มีการก่อสร้างอีกทั้งมีเอกสารสิทธิในที่ดินยืนยัน
แต่ รพช.ก็ดำเนินการก่อสร้าง
โดยมิได้เคารพต่อสิทธิของผู้ได้รับผลกระทบ ชาวบ้านจึงต้องเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความยุติธรรม
แต่รัฐบาลก็อ้างหลักการซึ่งไม่ได้ตั้งบนพื้นฐาน
ของความยุติธรรมแต่ประการใด
กรณีเขื่อนลำคันฉู
ครม.มีมติไม่เห็นชอบให้มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมย้อนหลังโดยอ้างว่าดำเนินการก่อสร้างทั้งโครงการ
จนเกือบเสร็จแล้ว ทั้ง ๆ
ที่เขื่อนลำคันฉูสร้างเสร็จไปแล้วตั้งแต่ปี
๒๕๓๖
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีตัดสินโดยไม่ได้มีข้อมูล ข้ออ้าง
ของรัฐบาลเช่นนี้ยังไม่สอดคล้องกับหลักการที่เป็นที่ยอมรับในทางสากลเพราะโดยหลักการแล้วเมื่อรัฐบาลมิได้ทำรายงาน
การศึกษาก่อนการ สร้าง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำแม้ว่าเป็นการประเมินผลกระทบย้อนหลังก็ตาม อีกทั้งการประเมินผลกระทบย้อนหลังก็เป็นการประเมิน
โครงการหลังการก่อสร้างที่โดยหลักการแล้วรัฐจะต้องทำอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่มีการทำเพราะหน่วยงานรัฐได้หลีกเลี่ยงต่างหาก
กรณีเขื่อนสิรินธร ครม.มีมติไม่เห็นชอบโดยอ้างว่าเป็นการจ่ายค่าซ้ำซ้อนย้อนหลัง ทั้ง ๆ
ที่สิ่งที่ชาวบ้านเรียกร้องนั้นคือเรีกยร้องความยุติธรรม
ที่พวกเขาต้องได้รับจากการที่รัฐบาลชักดาบพวกเขา
และรัฐบาลก่อนหน้านี้ ๒
รัฐบาลได้ยอมรับแล้วว่าจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาความเดือดร้อนที่
ชาวบ้านกำลังเผชิญ การอ้างว่าจ่ายซ้ำซ้อนย้อนหลังจึงเป็นเพียงการสร้างวาทะเพื่อที่จะไม่ต้องแก้ปัญหาชาวบ้านอีกทั้งยังใช้วาทะนี้เข้าทำลาย
ความชอบธรรม
ของชาวบ้านอีกด้วย
ประการที่สี่
มติ ครม.ที่ไม่เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลางยังยึดติดกับมติ
ครม.ที่ออกตามกฎหมายเก่าที่ไม่สอดคล้องกับ
รัฐธรรมนูญ
รวมทั้งไม่ได้คำนึงถึงสภาพความเป็นมาของปัญหา โดยเฉพาะกรณีป่าไม้ที่ดิน
ครม.มีมติไม่เห็นชอบโดยอ้างว่ามติ
ครม.วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑
น่าจะอำนวยการประโยชน์ในการแก้ปัญหาป่าไม้และที่ดินทั้งในส่วนประเทศชาติและราษฎรได้อย่างกว้างขวางเท่าเทียม
กันทั่วประเทศ ทั้ง ๆ
ที่ในความเป็นจริงมตินี้มิได้ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองและ
การทำประโยชน์ของ ชาวบ้าน
อีกทั้งมตินี้ออกตามกฎหมายป่าไม้เดิมซึ่งไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา
๔๖ ๕๖ ๗๖ และ ๗๙
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า
มติ ครม.ที่รัฐบาลอ้างว่าให้เยอะแล้วนั้นแท้จริงแล้วมิได้แก้ปัญหาสมัชชาคนจนแต่
ประการใด
แต่กลับใช้มตินี้สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลและกล่าวหาสมัชชาคนจนโดยอาศัยสื่อต่าง
ๆ
ของรัฐบิดเบือนเพื่อทำลายความ
ชอบธรรมของสมัชชาคนจน
ประการที่ห้า
การที่คณะรัฐมนตรีกระทำการดังกล่าวข้างต้นนี้
เท่ากับเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า
รัฐบาลนี้มิได้ปฏิบัติต่อกลุ่มคนในสังคมอย่าง
เสมอภาคกัน เพราะการอ้างว่าไม่เห็นชอบกับข้อเสนอของคณะกรรมการกลางเพื่อไม่แก้ปัญหาสมัชชาคนจนได้มีการอ้างหลักการ
ซึ่งก็ไม่ได้
เป็นหลักการที่เป็นที่ยอมรับแต่อ้างตามอำเภอใจ
อีกทั้งยังอ้างมติ ครม.เก่าที่ออกตามกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
การกระทำ
นี้กลับตรงกันข้ามกับการกระทำของรัฐบาลที่ปฏิบัติกับกลุ่มทุนโดยสนับสนุนกลุ่มธุรกิจบางกลุ่ม
แม้ว่าจะขัดต่อกฎหมายแต่ก็ทำการเปลี่ยนแปลง
กฎหมายเพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินการสนองตอบต่อกลุ่มทุนนั้นได้
ดังนั้นจึงเท่ากับรัฐบาลนี้เลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่อง
สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจ
หรือสังคม
ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๓๐
ด้วยเหตุนี้
สมัชชาคนจนจึงมิสามารถยอมรับต่อมติ
ครม.ที่ไม่ยุติธรรมต่อคนจนได้ เพราะมติดังกล่าวไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด
สมัชชาคนจนจึงไม่สามารถที่จะยอมรับและกลับบ้านด้วยมติที่ไม่ยุติธรรมนี้
และท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐใช้สื่อของรัฐและใช้กลยุทธ์ของความเป็นนักการเมืองที่มีลีลาและโวหารบิดเบือนมติ
ครม.อย่างไม่ชอบธรรมเพียง
ฝ่ายเดียวและไม่ยุติธรรมต่อสมัชชาคนจน สมัชชาคนจนจึงไม่มีทางเลือกอื่นและจำเป็นที่ต้องมีเวทีสาธารณะพื่อให้สังคมไทยได้รู้ข้อเท็จจริง
นี้ด้วย โดยที่สมัชชาคนจนและรัฐบาลมีโอกาสแสดงเหตุผลอย่างเท่าเทียมกันและโปร่งใส มิใช่ใช้ช่อง ๑๑
ที่รัฐได้ใช้เป็นเวทีกระทืบสมัชชา
คนจนมาโดยตลอด
|