eng homeabout usmekong riversalween rivermun riverthai baan researchpublication
 

วิพากษ์ มติ ครม.๘ สิงหาคม กรณีมาตรการระยะยาวในการแก้ปัญหาเขื่อน

รัฐบาลตบตาคนจนซ้ำซาก

หลังจากที่รัฐบาลทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามติ ครม.วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๓๕ แก้ปัญหาสมัชชาคนจนได้เพียง ๑๕ กรณีจาก ๑๖ กรณี ได้ไม่นาน ในที่สุดวันที่ ๘ สิงหาคม ครม.ก็นำข้อเสนอด้านมาตรการระยะยาวเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.และ ครม.มีมติออกมา โดยรับ มาตรการระยะยาว ๖ ข้อของกลุ่มปัญหาเขื่อน  ขณะที่ มติ ครม.วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๔๓ ยังคงปฏิเสธการทบทวนมติ ครม.๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๓ ซึ่งทำให้ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาป่าไม้ที่ดินได้เหมือนเช่นกับมติ ครม.๒๕ กรกฎาคม

สำหรับกลุ่มปัญหาเขื่อน มาตรการระยะยาวที่ ครม.มีมติเห็นชอบนั้น  ได้ถูกนำมาอ้างว่า “รัฐบาลให้คนจนมากที่สุดแล้ว” เหมือนดัง เช่นที่ รัฐบาลเคยอ้างมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม โดยข้อเท็จจริงแล้ว มติ ครม. ๘ม สิงหาคม นั้น ยังคงเป็นมติที่ไม่ได้แก้ปัญหาคนจน เพราะ ครม.นำเฉพาะรายงานสรุป ของ คณะกรรมการกลางเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. โดยที่ไม่ได้นำสาระสำคัญซึ่งเป็นรายละเอียดและเป้นข้อเสนอรูปธรรมในการแก้ ปัญหา เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. บทความนี้ต้องการที่จะชี้และวิพากษ์สาระสำคัญที่รัฐบาลไม่ได้นำเข้าสู่การพิจารณา ซึ่งหากพิจารณา มติ ครม. ๘ สิงหาคม แล้ว มีรายละเอียดดังนี้  

๑.หลักการร่วม

                มติ ครม.วันที่ ๘ สิงหาคม ไม่ได้ยอมรับหลักการร่วม ๑๐ ข้อตามข้อเสนอมาตรการระยะยาวของคณะกรรมการกลาง ข้อ ๑.๑ สาระสำคัญของหลักการร่วมทัง ๑๐ ข้อ สามารถสรุปได้ดังนี้

                ๑) การชดเชยจะต้องคำนึงถึงการทำให้ผู้ได้รับผลกระทบมีวิถีการดำรงชีวิตใกล้เคียงกับที่เคยเป็นอยู่แต่เดิมมากที่สุด

                ๒) การอพยพโยกย้ายที่จะต้องทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านใกล้เคียงของเดิมมากที่สุดพร้อมทั้งให้หลักประกันทางอาชีพ และดู แล ความเป็นอยู่ของชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยการแก้ปัญหาให้กับทั้งชุมชน

                ๓) ให้ยุติการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ทุกเขื่อนที่มีอยู่ในแผนจนกว่าจะจะมีการกำหนดมาตรการในการศึกษาผลกระทบและ ความ คุ้มทุน  และมาตรการในการพิจารณาอนุมัติโครงการที่รอบคอบและเป็นธรรมมากกว่านี้

                ๔) การฟื้นฟูอาชีพและวัฒนธรรมที่ต้องคำนึงถึงความเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนสองฝั่งลำน้ำใช้ประโยชน์ร่วมกัน  และ ไม่ ยอมรับการศึกษาประเมินผลการฟื้นฟูอาชีพและวัฒนธรรมสำหรับเขื่อนที่สร้างแล้ว

                ๕) ให้ฝ่ายต่าง ๆ ของสังคมและผู้มีส่วนได้เสียเข้ามีส่วนร่วมในด้านองค์กรบริหารจัดการ  และในทุกขั้นตอนและกระบวนการ พัฒนาโครงการ

                ๖) การศึกษาความเหมาะสมของโครงการที่ให้คิดต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม  และแผนการแก้ไขผลกระทบของโครง การ มาคิดคำนวณเป็นต้นทุนของโครงการ

                การไม่ยอมรับหลักการร่วมนี้  ก็เท่ากับว่ารัฐบาลไม่ยอมรับหลักการที่ว่าการสร้างเขื่อนจะไม่ทำให้ชีวิตของ ชาวบ้านผู้ได้รับ ผล กระทบเลงลง แต่จะทำให้ดีขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดก็เท่าเดิม ซึ่งมีนัยะของการที่รัฐไม่ยอมรับหลักการที่ว่าการพัฒนาต้องยุติธรรมต่อ ผู้ที่ได้ รับผลกระทบนั่นเอง

                การไม่ยอมรับหลักการร่วมนี้  ยังเท่ากับว่า  รัฐปฏิเสธการมีส่วนร่วมของฝ่ายต่าง ๆ ในสังคมรวมทั้งผู้มีส่วนได้เสีย ในการ ดำเนิน โครงการเขื่อน  ซึ่งเป็นหลักการ ขณะที่การคิดโครงการเขื่อนก็ยังคิดแบบง่าย ๆ เหมือนที่ผ่านมา  นั่นก็คือการปฏิเสธต้นทุนทาง สิ่งแวด ล้อมและสังคม  ซึ่งการละเลยการพิจารณาต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมนี้เองคือที่มาของความขัดแย้งเรื่องเขื่อนในสังคมไทย    

๒.กลุ่มเขื่อนยังไม่สร้าง

                 ประการแรก ในประเด็นการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม มติ ครม.วันที่ ๘ สิงหาคม ไม่ได้พิจารณามาตรการระยะยาวของ คณะ กรรมการกลางดังต่อไปนี้

                ๑) การศึกษาความเหมาะสมของโครงการที่ให้คิดต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม  และแผนการแก้ไขผลกระทบของ โครงการ มาคิดคำนวณเป็นต้นทุนของโครงการ

                ๒) ในเรื่องเกี่ยวกับราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ จะต้องศึกษาให้มีทางเลือกในหลายแนวทางด้วยกัน  โดยเน้นถึงสภาพสังคม และ มานุษยวิทยา  ความคงอยู่ในสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี  วิถีชีวิต  และให้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  โดยมองในรูปชุมชนมิใช่ปัจเจก ชนแต่ละ ครอบครัว

                ๓) ให้มีการศึกษาผลกระทบเบื้องต้นในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทุกประเภท  แม้จะไม่อยู่ในข่ายที่ต้องดำเนินการ ตาม กฎหมาย

                ๔) ควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์และทรัพยากรที่มีผลต่อวิถีชีวิตของชุมชน ไม่ใช่ประเมินผลเชิงมูลค่า ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

                ๕) ให้กำหนดมาตรการในการศึกษาความคุ้มทุนและผลกระทบของโครงการสร้างเขื่อนโดยให้มีการศึกษาจากหลายฝ่าย  โดย เฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาของท้องถิ่นเพื่อเป็นการเปรียบเทียบและตรวจสอบ

                ๖) ให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาประเมินผลกระทบในทุกขั้นตอน  และให้มีการ เผยแพร่รายงานการศึกษาผลกระทบแก่ประชาชน

                การไม่ยอมรับหลักการข้างต้นนี้ นอกจากการปฏิเสธการคำนวณต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมในการศึกษาความเหมาะสม โครงการแล้ว  ยังเท่ากับปฏิเสธการศึกษาทางเลือกให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ  การปฏิเสธที่จะทำรายงานการศึกษาผลกระทบเบื้องต้นแก่ โครงการ เขื่อนขนาดกลางหรือเล็ก  ซึ่งตามหลักการสากลแม้โครงการเหล่านี้ไม่มีขนาดใหญ่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ทำรายงาน  แต่ก็จำ เป็นต้องมีการจัดทำรายงานผลกระทบเบื้องต้นเนื่องจากโครงการเหล่านี้ได้สร้างปัญหาผลกระทบทางสังคมและ สิ่งแวดล้อมเช่นกัน 

                การปฏิเสธการให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์และทรัพยากรที่มีผลต่อวิถีชีวิตของชุมชน ไม่ใช่ประเมินผลเชิง มูลค่าทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวยังเท่ากับว่า

               ขณะที่การไม่ยอมรับหลักการที่เสนอให้กำหนดมาตรการในการศึกษาความคุ้มทุนและผลกระทบของโครงการสร้างเขื่อน โดย ให้มีการศึกษาจากหลายฝ่าย  เท่ากับปิดโอกาสในการเปรียบเทียบและตรวจสอบรายงานซึ่งปัจจุบันนี้รายงานการศึกษาผลกระทบสิ่ง แวดล้อมนั้นล้วนแต่ผูก ขาดโดยบริษัทที่ปรึกษาและว่าจ้างโดยเจ้าของโครงการ 

                ยิ่งไปกว่านั้น  การไม่ยอมรับหลักการที่ให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาประเมินผล กระทบในทุกขั้นตอน  และให้มีการเผยแพร่รายงานการศึกษาผลกระทบแก่ประชาชน  ยังเท่ากับปฏิเสธการมีส่วนร่วมของประชาชนอัน เป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญแห่วราขอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ ให้การรับรอง

                ประการที่สอง ในเรื่องของการประเมินและชดเชยผลกระทบ มติ ครม. ๘ สิงหาคม ได้ปฏิเสธหลักการการประเมินและการชด เชยผลกระทบ  โดยปฏิเสธหลักการการชดเชยความสูญเสียทางเศรษฐกิจ  รายได้  และทรัพยากรที่เป็นฐานชีวิตของชุมชนที่เกิดขึ้นในขณะ นั้นและในอนาคต  โดยรัฐยังยืนยันว่าให้เป็นไปตาม พรบ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.๒๕๓๐ ซึ่ง พรบ.ฉบับนี้ไม่ได้ให้ความ ยุติธรรมที่เพียงพอแก่ผู้ที่ถูกเวนคืนอีกทั้งยังไม่ยอมรับสิทธิตามประเพณีและสิทธิส่วนรวม (ใครที่เคยถูกเวนคืนก็จะรู้ซึ้งถึงกฎหมายนี้ดี  ยก เว้นบรรดานายทุนที่ซื้อที่ดินเก็งกำไร)

               ยิ่งไปกว่านั้น  รัฐยังผลักภาระนี้(หรืออีกนัยะหนึ่งก็คือการท้าทาย) ให้ชาวบ้านไปฟ้องศาลปกครองเอาเอง  หากเห็นไม่เห็นด้วย กับการจ่ายค่าชดเชย

               หลักการสำคัญอีก ๒ ประการที่เกี่ยวข้องกับการการประเมินและชดเชยผลกระทบก็คือ การที่ ครม.ปฏิเสธ  ๑) ข้อเสนอกรณีการ อพยพโยกย้ายผู้ได้รับผลกระทบที่ว่าเจ้าของโครงการต้องมีแผนการที่ชัดเจน และต้องจัดหาพื้นที่รองรับที่เหมาะสมกับการประกอบอาชีพ  อันจะไม่ทำให้คุณภาพชีวิตด้อยลงไปกว่าที่เป็นอยู่เดิม  ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามความเห็นชอบของผู้รับผลกระทบ  และ ๒) การที่รัฐไม่ พิจารณาให้ตั้งกองทุนประกันความเสียหายเพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นใน อนาคตภายหลังการเปิดดำเนิน โครงการ

             ประการที่สาม ประเด็นการมีส่วนร่วม  มติ ครม.๘ สิงหาคม มิได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการกลางที่ระบุว่าให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการจัดทำและพิจารณารายงานการ ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมทุกขั้นตอน  รวมทั้งไม่ได้พิจารณาข้อเสนอที่ระบุ ว่า กำหนดให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในการชดเชยผลกระทบในทุกขั้นตอน  โดยการมีส่วนร่วมในกลไกและกระบวนการ สำรวจความเสียหาย เช่น คณะกรรมการต่างๆ ที่ตั้งขึ้นเพื่อการดังกล่าวต้องมีองค์ประกอบที่มาจากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบหรือผู้แทน ที่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ แต่งตั้งขึ้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง

            การปฏิเสธกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนในการประเมินและพิจารณารายงานนี้เท่ากับเป็นการปฏิเสธการมีส่วน ร่วม ของประชาชนในโครงการ  อันเท่ากับว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  มาตราที่

           สำหรับการปฏิเสธการมีส่วนร่วมในการชดเชยผลกระทบนั้น เท่ากับว่าในที่สุดแล้วการจ่ายค่าชดเชยก็ยังอยู่ในอำนาจของคณะ กรรมการระดับจังหวัด  ซึ่งเป็นกลไกที่ไม่เอื้อให้การจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ได้รับผลกระทบมีความยุติธรรม  ยิ่งไปกว่านั้นกลไกคณะกรรมการ ระดับจังหวัดที่มีแต่ข้าราชการยังเอื้อให้มีการคอรับชั่น ซึ่งปรากฏอยู่เสมอในการจ่ายค่าชดเชยกรณีเขื่อนที่ในที่สุดแล้ว  เงินค่าชดเชยไม่ถึง มือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบแต่กลับตกอยู่ในมือของนายทุนและข้าราชการประจำ  

            ประการที่สี่ ประเด็นด้านองค์กรการบริหารจัดการ  มติ ครม. ๘ สิงหาคม ไม่ยอมรับมาตรการระยะยาวในการแก้ปัญหาเขื่อนยังไม่ สร้างโดยการปฏิเสธข้อเสนอที่ว่า หน่วยงานที่รับผลิดชอบดำเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม  ต้องไม่ใช่หน่วยงานที่จะ สร้างโครงการนั้น และต้องมีตัวแทนของชาวบ้านในพื้นที่และองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าร่วมเป็นกรรมการกำกับด้วย  ให้ผู้ทรงคุณวุฒิใน สถาบันการศึกษาในส่วนภิมภาคนั้นๆ ร่วมเป็นคณะทีมงานศึกษา  ในทางกลับกัน มติ ครม.กลับยืนยันให้เจ้าของโครงการเป็นผู้ว่าจ้าง

            นอกจากนั้น ครม.ยังไม่ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการกลางที่เสนอว่า โครงการที่มีผลกระทบค่อนข้างจะรุนแรง  ควรให้ หน่วยงานกลางหรือองค์กรซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมทำหน้าที่ในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อเป็นการศึกษาเปรียบ เทียบกับการศึกษาที่ได้ดำเนินการตามปกติ

            การปฏิเสธหน่วยงานกลางทำหน้าที่กำกับการศึกษาผลกระทบและปฏิเสธตัวแทนของชาวบ้านและองค์กรพัฒนาเอกชนนี้  จึงเท่า กับว่ากระบวนการในการศึกษาผลกระทบยังคงเป็นกระบวนการเดิมนั่นก็คือ ไม่มีความเป็นอิสระและถูกผูกขาด โดยบรรดาบริษัทที่ ปรึกษาที่ดำเนินธุรกิจด้านนี้เป็นการเฉพาะ  การที่ให้เจ้าของโครงการว่าจ้างยังเท่ากับว่า  รัฐยังไม่เปลี่ยนแปลงกระบวนการทำรายงานที่ทุก วันนี้มีการฮั้วกันระหว่างบริษัทที่ปรึกษากับเจ้าของโครงการ  ซึ่งในที่สุดรายงานการศึกษาผลกระทบจะถูกจัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุน มากกว่า ที่จะประเมินอย่างอิสระและน่าเชื่อถือว่า เป็นรายงานที่มีการประเมินผลกระทบอย่างตรงไปตรงมา

          นอกจากนั้นการปฏิเสธหน่วยงานกลางหรือสถาบันทางสังคมในการศึกษาผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในกรณี โครงการที่มี ผลกระทบค่อนข้างรุนแรงเพื่อเปรียบเทียบกับการศึกษาตามปกติ  ยังเท่ากับว่าไมเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบผลการศึกษาโดยการเปรียบ เทียบนั่นเอง  

ประการที่ห้า  ประเด็นข้อเสนอด้านกฎหมายและนโยบาย  มติ ครม. ๘ สิงหาคม ไม่ได้พิจารณาทุกประเด็นที่เป็นสาระสำคัญได้แก่

๑) การปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการชดเชยผลกระทบเพื่อให้การชดเชยครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและ มีความเป็นธรรมมากที่สุด

๒) หากอนุมัติให้มีการก่อสร้างโครงการ  จะต้องอนุมัติงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการในการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมควบ คู่กันไป

๓) กรณีโครงการขนาดกลางและเล็ก  ต้องมีกระบวนการให้ข้อมูลที่แท้จริงแก่ประชาชนก่อนการตัดสินใจสร้างโครงการ  โดยอาจนำขั้น ตอนการศึกษาผลกระทบเบื้องต้นในการประเมินผลกระทบมาประยุกต์ใช้  ให้ประชาชนในชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมใน การตัดสินใจดำเนินโครงการ  ให้ผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในการประเมินความเสียหายและการชดเชยผลกระทบในทุกขั้นตอน และมี การกระจายอำนาจการพิจารณาตัดสินใจว่าจะดำเนินโครงการหรือไม่ให้องค์กรท้องถิ่น

๔) กำหนดให้มีค่าชดเชยและค่าเสียโอกาสสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็ก

             การปฏิเสธโดยไม่พิจารณาดำเนินการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการชดเชยผลกระทบเพื่อให้การชดเชย ครอบ คลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและมีความเป็นธรรมมากที่สุดนั้น  เท่ากับว่ารัฐไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ปัญหาในเชิงนโยบายเพื่อให้ผู้ ได้รับผลกระทบได้รับความยุติธรรมจากการดำเนิน โครงการสร้างเขื่อน

             นอกจากนั้น  รัฐก็ยังไม่เปลี่ยนนโยบายในการสร้างเขื่อนขนาดกลางและเล็ก  โดยไม่ยอมรับหลักการการประเมินผลกระทบ เบื้องต้นซึ่งเป็นหลักการสากลเนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า โครงการขนาดกลางและเล็กสร้างผลกระทบเช่นกันดังนั้นจึงควรมีการ ประเมินผลกระทบเบื้องต้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังปฏิเสธ การมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้ได้รับผลกระทบทั้งๆ ที่ผ่านมาโครงการเหล่านี้มัก อ้างความต้องการของราษฎร  

๓.กลุ่มเขื่อนที่สร้างแล้ว

               มติ ครม. ๘ สิงหาคม ไม่ได้พิจารณาข้อเสนอด้านมาตรการระยะยาวของคณะกรรมการกลาง ได้แก่

๑) ให้ทำการประเมินผลโครงการ(Post Project EIA) โดยเป็นการประเมินในลักษณะการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่พิจารณาทั้งทาง ด้านเศรษฐศาสตร์  วิศวกรรม  สังคม  และสิ่งแวดล้อม  พร้อมกับกำหนดมาตรการและวิธีการแก้ไข  โดยใช้หลักการและวิธีการตามข้อเสนอ เรื่องการศึกษาผลกระทบในเขื่อนที่ยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้าง

๒) จากผลการดำเนินการข้อ ๑ ให้กำหนดแผนงานและมาตรการเพื่อดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากร  ธรรมชาติ  สิ่งแวดล้อม  และสภาพความ เป็นอยู่ของผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อน  หากผลการศึกษาดังกล่าวยืนยันว่าผู้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนมีสภาพความ เป็นอยู่แย่กว่าที่เคยเป็นอยู่เดิมก่อนการสร้างเขื่อน  ทั้งนี้เป็นไปตามสภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริง  และอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมของ ประชาชน

๓) โครงการใดที่ผลการประเมินออกมาในทางลบมากๆ อาจจะพิจารณาให้ยกเลิกโครงการนั้น  และหากโครงการใดไม่ได้รับประโยชน์ ตามที่ได้ตั้งไว้วัตถุประสงค์ไวให้กำหนดมาตรการและการดำเนินงานให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์

๔) ให้มาตรการตามข้อเสนอข้างต้นเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

            การปฏิเสธไม่พิจารณามาตรการระยะยาวกลุ่มเขื่อนที่สร้างแล้วตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลางเท่ากับว่า รัฐบาลไม่ยอมรับ หลักการของการประเมินผลโครงการซึ่งเป็นหลักการบริหารราชการแผ่นดินที่ปกติแล้วรัฐจะต้องดำเนินการอยู่แล้ว  ไม่เฉพาะแต่โครงการ เขื่อนเท่านั้น  แต่รวมถึงโครงการอื่นๆ โดยทั่วไป

           การไม่ยอมรับการประเมินโครงการเขื่อนที่สร้างไปแล้วจึงเท่ากับว่ารัฐได้ปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ หรือไม่ก็เป็นเพราะ รัฐกลัวความจริงที่ว่าโครงการเขื่อนนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วไร้ประสิทธิภาพ  ไม่บรรลุวัตถุประสงค์  หรือไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ และหลายโครงการควรที่จะยกเลิกด้วยซ้ำไป

            ความจริงแล้ว หลักการประเมินผลโครงการนั้น  เป็นหลักการที่เป็นที่ยอมรับโดยสากล  แม้แต่ธนาคารโลกเองก็ยังมีการประเมินผล โครงการเขื่อนที่ธนาคารสนับสนุนเงินกู้

             การไม่พิจารณามาตรการระยะยาวของกลุ่มเขื่อนที่ให้ประเมินผลโครงการยังเท่ากับว่ารัฐไม่ได้แสดงความรับผิดชอบต่อ ประชาชน ผู้รับผลกระทบ  ซึ่งปรากฏชัดว่า  ผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนทุกเขื่อนที่ผ่านมาล้วนแต่มีสภาพความเป็นอยู่แย่กว่าที่เคยเป็นอยู่เดิม ก่อนการ สร้างเขื่อน ซึ่งตรงกันข้ามกับคำกล่าวของรัฐและนักสร้างเขื่อนที่กล่าวอยู่เสมอว่า “การสร้างเขื่อนจะไม่ทำให้ชาวบ้านผู้ได้รับผล กระทบจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดก็เท่าเดิม”

             การที่รัฐไม่ให้ความสำคัญกับชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบนี้  สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คำกล่าวข้างต้นนั้นเป็นเพียงโวหาร ที่ไม่ มีวันที่จะเกิดขึ้นจริง

             คำถามก็คือว่า เขื่อนที่รัฐอ้างว่าสร้างขึ้นเพื่อการพัฒนานั้น  ได้เคารพสิทธิของผู้ได้รับผลกระทบและตระหนักถึงความยุติธรรมใน การใช้ทรัพยากรหรือไม่  อย่างไร 

 
 

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต   138/1 หมู่ 4 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่   50200
Living River Siam Association  138 Moo 4, Suthep, Muang, Chiang Mai, 50200   Thailand
Tel. & Fax.: (66)-       E-mail : admin@livingriversiam.org

ข้อมูลในเวปนี้สามารถนำไปเผยแพร่ได้โดยอ้างอิงแหล่งที่มา