เปาโล
คำสวัสดิ์ "ผมแค่อยากกลับบ้านไปหาปลา"
อธิคม คุณาวุฒิ
กรุงเทพธุรกิจ
จุดประกาย 2 มค 46 http://www.bangkokbiznews.com/jud/sat/20030102/page1.html
ผมอยากให้รัฐบาลทำตามผลวิจัยของม.อุบลฯ
ลองเปิดเขื่อนสัก 5 ปีก็ได้
แล้วเรามาดูกันว่าชีวิตผมเป็นยังไง
ดูว่าพ่อผมน้องผมเป็นยังไง
ถ้าผ่านไป 5
ปีผมยังหาปลาไม่ได้
ชีวิตผมไม่ได้ดีขึ้นจริง
ผมจะยอมเลิกเรียกร้องทุกอย่าง
เลิกชุมนุมผมไม่เอาอะไรแล้ว
ไม่ต้องมีใครมาสนใจผมด้วย
ปล่อยให้ผมไปคุ้ยขยะที่ไหนกินก็ได้
***********************
ปีที่เปิดเขื่อน
ผมกับพ่อผมกับน้องได้ออกไปหาปลาด้วยกัน
เรามีความสุขมาก
เงินเราก็มีใช้
กับข้าวเราก็เลือกได้ว่าจะกินอะไร
เมื่อก่อนเราต้องกินปลากระป๋อง
ต้องเอาเงินซื้อทุกอย่าง
แต่พอเปิดเขื่อนพ่อผมเริ่มมีเงินเก็บ
น้องผมก็มีเงินไปโรงเรียนเยอะขึ้นกว่าเดิม
ก่อนเปิดเขื่อนน้องผม 3
คนได้ตังค์ไปโรงเรียนวันละบาท
บางวันก็ไม่ได้
เด็กในเมืองเขาได้เงินไปโรงเรียนวันละเป็นร้อยไม่ใช่เหรอครับ...เงินขนาดนั้นน้องผมกินได้เป็นเดือน
***********************
วันที่นายกรัฐมนตรีเปิดเวทีให้ตัวแทนผู้เดือดร้อนจากโครงการเขื่อนปากมูลจำนวน
30 คน
เข้าชี้แจงปัญหาและข้อเท็จจริง
นายกรัฐมนตรีผู้พยายามญาติดีกับชาวบ้านเอ่ยปากทักถามเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไมตรีว่า...ทำไมถึงชื่อ 'เปาโล'
เด็กหนุ่มคนนั้นตอบนายกรัฐมนตรีว่า "ชื่อผมเป็นเรื่องของผมกับพ่อ
แต่วันนี้เรามาคุยกันประเด็นปัญหาของชาวบ้านดีกว่า"
ใครที่เคยลงพื้นที่ปากมูลหรือติดตามข่าวสารเรื่องนี้มาบ้าง
น่าจะคุ้นหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นดี เปาโล คำสวัสดิ์ เป็นดาวไฮด์ปาร์กในสนามต่อสู้มาตั้งแต่อายุไม่เต็ม
10 ขวบ ระยะเวลาร่วม 10
ปีที่เขามีชีวิตอยู่กลางม็อบ
หล่อหลอมให้เด็กชายคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มเจนเนอเรชั่นพิเศษ
(ไม่ว่าจะมีใครตั้งใจอยากให้เป็นหรือไม่ก็ตาม)
ท่าทีและคำพูดที่เขากล่าวกับนายกรัฐมนตรี...ว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับภาพในจินตนาการของคนเมืองบางกลุ่ม
ที่มองผู้ชุมนุมจากต่างจังหวัดด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ...เต็มไปด้วยคำถามข้อสงสัย...หรือกระทั่งเกลียดชังรำคาญ
เปาโล
คำสวัสดิ์
อาจจะไม่ใช่คนของความอ่อนโยน
แต่เราจะปฏิเสธได้จริงหรือว่า
สังคมไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ
กับการร่วม 'ผลิต' เด็กหนุ่มเจนเนอเรชั่นนี้ขึ้นมา
โดยผ่านกระบวนการความขัดแย้ง...คำโกหก..การคุกคามชีวิตร่างกาย..กฎหมาย..ไม้กระบอง..ไล่ไปจนถึงคมเขี้ยวสุนัขตำรวจ
เด็กหนุ่มจากลุ่มน้ำมูลมีข่าวสารบางอย่าง
อยากเล่าให้เพื่อนร่วมผืนแผ่นดินเดียวกับเขาได้รับฟัง..
+ปีนี้เปาโลอายุเท่าไหร่
ย่าง 18
ปีแล้วครับ
ผมเริ่มเข้าร่วมขบวนต่อสู้มาตั้งแต่ปี
2537
+แต่โครงการสร้างเขื่อนปากมูล
เริ่มมาก่อนหน้านั้นนี่ ?
ใช่ครับ
คืออย่างนี้...ช่วงนั้นมีชาวบ้านรวมกลุ่มคัดค้านการสร้างเขื่อนอยู่ก่อนแล้วแต่เป็นกลุ่มเล็กๆ
ตอนนั้นผมยังเด็กมาก
ยังไม่รู้เรื่องว่าเขาจะมาทำอะไร
ระยะนั้นก็จะมีกำนันมีผู้ใหญ่บ้านออกมาให้ความรู้ชาวบ้าน
พูดถึงข้อดีว่าถ้ามีเขื่อนปากมูลแล้วจะเป็นยังไง
มีเขื่อนแล้วเราจะได้ทำนาปีละ
2 ครั้ง
ปลาที่เราเคยจับได้ก็จะยิ่งจับได้เยอะขึ้นกว่าเดิม
เขาก็บอกว่าปลาที่ขึ้นมาแล้วจะไม่กลับไปแม่น้ำโขง
เสร็จแล้วจะมีการปล่อยพันธุ์ปลาลงแม่น้ำอีกเยอะแยะ...เขาก็ว่าอย่างนี้
ตอนนั้นพ่อผมก็เชื่อ
ครอบครัวผมก็อยากให้มีเขื่อน
+ตกลงคือตอนนั้นครอบครัวเปาโลก็ถือว่ายืนอยู่ฝ่ายสนับสนุนเขื่อน
?
(หัวเราะ)
ใช่ครับ
ฟากเราบางคนก็พากันใช้ก้อนหินปาหลังคาบ้านพวกที่คัดค้าน
ก็มีอย่างนั้นจริงๆ
+ได้ไปช่วยปาหลังคาบ้านเพื่อนกับเขาบ้างหรือเปล่า
(หัวเราะ)
ยังครับ ตอนนั้นผมแค่ 5-6
ขวบเองมั้ง
ผมพออายุได้สัก
7-8 ขวบเขื่อนก็สร้างเสร็จ
ปีแรกที่เขื่อนสร้างเสร็จกั้นแม่น้ำมูลเรียบร้อย
พ่อผมก็เริ่มหาปลาไม่ได้แล้ว
+อาชีพหลักของที่บ้านคือเป็นชาวประมง
?
ทำนาด้วยครับ
แต่อาชีพหลักคือหาปลา
เพราะปลามันหาได้ตลอดทั้งปี
แต่ทำนาได้แค่ปีละครั้ง
ยิ่งชาวบ้านแถวโขงเจียมเขาไม่ทำนาเลยนะครับ
หาปลาอย่างเดียวก็ส่งลูกเรียนได้
แต่พอเขื่อนสร้างเสร็จ
ปลามันก็เหมือนถูกขังแค่อยู่ในสระ
อพยพเคลื่อนย้ายไปไหนไม่ได้
วางไข่ก็ไม่ได้
ขณะที่ชาวบ้านก็ยังหาปลาอยู่เหมือนเดิม
จำนวนปลามันก็ไม่พอกับคน
+ปีเดียวเห็นผลอย่างนั้นเลยเหรอ
ปีเดียวก็เห็นครับ
คือปลาแม่มูลเป็นปลาอพยพเคลื่อนย้ายอยู่ตามเกาะแก่ง
ไม่ใช่อยู่นิ่งๆ
แบบปลาในบ่อ
แล้วปลาที่เขาปล่อยส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ปลาท้องถิ่น
เป็นปลาที่เลี้ยงแบบให้หัวอาหาร
เลี้ยงแบบต้องคอยเติมออกซิเจน
และปีที่เขาปล่อยปลาก็เป็นปีที่แม่น้ำมูลเริ่มเน่าแล้ว
เพราะมีตะกอนดินมีใบไม้ถมอยู่ข้างล่าง
ปลาที่ปล่อยลงไปก็อยู่ไม่ได้
พอพ่อผมเริ่มหาปลาไม่ได้
ก็เริ่มมีคนเข้ามาคุยมาบอกมารณรงค์ทำความเข้าใจกันใหม่
ชาวบ้านก็เริ่มหันหน้ามาคุยกัน
+ช่วงแรกๆ
คุยกันรู้เรื่องเหรอ
เพราะเราก็เคยอยู่ฝ่ายสนับสนุนเขื่อนมาก่อน
ตอนแรกก็ไม่เข้าใจครับ
พ่อผมเองก็ไม่ได้อยากเข้าไปสู้
ถึงวันนี้ผมเองยังเคยถามพ่อว่า
ทำไมพ่อถึงไม่เข้ามาต่อสู้ตั้งแต่แรก
พ่อเขาก็บอกว่ากลัว...กลัวรัฐบาล
กลัวตำรวจ กลัวเจ้านาย
ชาวบ้านทางอีสานเป็นอย่างนี้ครับ
เรามองตำรวจมองข้าราชการเป็นเจ้านายหมด
พวกเราเป็นแค่ประชาชนไม่ควรไปต่อสู้เจ้านาย
เพราะเขามีทั้งอำนาจ
มีทั้งกฎหมาย
+พอมีตัวแทนชาวบ้านมีเอ็นจีโอเข้าไปรณรงค์
ทำไมถึงเชื่อทำไมถึงไว้ใจคนกลุ่มนี้
ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยรู้จักคนพวกนี้เลยครับ
ไม่เคยรู้เลยว่าเอ็นจีโอเป็นใครทำอะไร
เราไม่สนใจ
แต่เหตุผลที่ทำให้พ่อลุกขึ้นมาต่อสู้เป็นครั้งแรกคือ
ปลามันหายจริงๆ ครับ...หายหมด
ที่เขาเคยบอกว่าจะได้ทำนาปีละ
2 ครั้งก็ทำไม่ได้
เขากักน้ำเอาไว้ปั่นไฟแต่ไม่ยอมแบ่งมาให้พวกเราปลูกข้าว
แถมที่นาบางคนยังถูกน้ำหลังเขื่อนท่วมอีก
ปลาที่ปล่อยก็อยู่ไม่ได้เพราะน้ำเน่าเสีย
ปัญหาที่ตามมาก็คือไมยราบยักษ์ระบาดทั่วฝั่งแม่น้ำมูล
ควายที่เราเลี้ยงก็ลงไปกินน้ำมูลไม่ได้
เพราะไมยราบยักษ์มันมีหนาม
สุดท้าย
พ่อผมก็ตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมกับเขา
ตอนนั้นขบวนคัดค้านยังปักหลักอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดอุบลฯ
ระบบชุมนุมคือ 1
ครอบครัวต้องส่งตัวแทนไปร่วมต่อสู้
1 คน
แต่พอดีแม่ผมกำลังคลอดน้องคนที่
3
พ่อผมก็ต้องออกมาจากการชุมนุม
+เปาโลมีพี่น้องทั้งหมดกี่คน
5 คนครับ
ผมเป็นคนโต มีน้องสาว 2 คน
น้องชายอีก 2 คน
พอพ่อต้องกลับมาดูแลแม่
ผมก็เลยต้องไปชุมนุมที่ศาลากลางแทนพ่อ
ติดตามญาติพี่น้องบ้านเดียวกันไปชุมนุมกับเขาด้วย
+ตอนนั้นยังเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า
ยังเรียนอยู่ครับ
ช่วงนั้นไปได้แค่เสาร์-อาทิตย์
ก็ไปชุมนุมกับเขาเรื่อยๆ
จนแม่แข็งแรงพ่อไปชุมนุมได้
ผมก็กลับมาอยู่กับแม่เหมือนเดิม
+จำได้มั้ยตอนนั้นอายุเท่าไหร่
ประมาณ 8-9
ขวบมั้งครับ
+แล้วพ่อหารายได้เข้าบ้านยังไงล่ะครับ
พ่อเขาไปเป็นยามในตัวเมืองอุบลฯ
แม่ก็อยู่บ้านเลี้ยงน้อง
ผมก็ช่วยเลี้ยงควาย
หากบหาเขียดมาทำกับข้าว
+เล่าให้ฟังได้มั้ย
เป็นไงมาไงถึงได้ขึ้นเวทีไฮด์ปาร์กตั้งแต่ยังเด็กๆ
ช่วงนั้นประมาณปี
37-38
เราย้ายจากศาลากลางมาชุมนุมอยู่สันเขื่อนเริ่มตั้ง หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน แล้ว
เขาก็จัดงานวันเด็กแห่งชาติ
ตอนแรกพ่อเขาก็ว่าจะพาน้องไปด้วยแต่น้องยังเล็กอยู่
ก็เลยพาผมมากินขนมงานวันเด็กคนเดียว
ทีนี้ในงานก็มีการประกวดให้เด็กได้ขึ้นพูดว่าเขื่อนปากมูลในความคิดของเด็กเป็นยังไง...เด็กๆ
อย่างเราชอบมั้ย...เห็นว่าเขื่อนดีจริงมั้ย
พ่อผมก็ไปลงชื่อผมสมัครเอาไว้กับเด็กอีก
11 คน มาจากหลากหลายหมู่บ้าน
ก่อนจะขึ้นพูดเราก็ไปกินขนมไปเล่นกับเพื่อน
แต่พอดีก่อนหน้านั้นผมเคยไปชุมนุมแทนพ่ออยู่แล้ว
พอเราเคยไปเราก็ได้ยินแกนนำเขาประชุมกัน
เราก็นั่งฟังเขาประเมินวิเคราะห์สถานการณ์อย่างนั้นอย่างนี้...ผมก็ไปนั่งฟังกับเขา
+เรายังเด็กแค่นั้นฟังแล้วเข้าใจเหรอ
ผมไม่ค่อยได้เรื่องหรอกครับ
(หัวเราะ)
นั่งฟังนิดหน่อยก็อยากไปวิ่งเล่นกับเพื่อน
แต่เราก็เคยฟังมาบ้าง
เคยได้ยินเขาวิเคราะห์ประเมินกันมาบ้าง
แล้วถึงตอนเย็นก็จะมีการขึ้นไฮด์ปาร์ก
จะมีพวกแกนนำใหญ่ๆ
พวกชาวบ้านเก่งๆ
หรืออาจารย์กับนักศึกษาที่มาช่วยงานชาวบ้านเขาขึ้นไปพูดบนเวที...เราก็นั่งฟังอยู่ทุกวัน
พอถึงวันต้องประกวดการพูดผมก็จำๆ
เอาจากที่เคยได้ยิน...ก็พูดเรื่องนี้แหละเรื่อง
ปลาแดกบ่เบิ๊ดไห
ช่วงนั้นกฟผ.กำลังโฆษณาว่าสร้างเขื่อนมีบันไดปลาโจนแล้ว
ปลาร้าจะไม่หมดไห
ผมเองเวลาอยู่สันเขื่อนก็ชอบไปเล่นแถวบันไดปลาโจน
เรามีมองขาดๆ อยู่อันนึง (มอง คือเครื่องมือหาปลาชนิดหนึ่ง)
...ก็ไปดักรอปลา
มันก็มีปลาตัวเล็กๆ
เต้นเด๊งๆ ๆ ขึ้นมา..ผมก็ไปช้อนมากิน
ก่อนสร้างเขื่อนชาวบ้านเราไม่เคยจับตัวเล็กๆ
มากินหรอกครับพี่
เราจะจับแต่ปลาเศรษฐกิจตัวใหญ่ๆ
พวกปลาอีตู๋ ปลาเคิง
พอได้กินได้ขาย
ปลาสร้อยปลาเล็กๆ
เราไม่เคยจับ...ผมก็พูดไปแบบนี้แหละครับ
บอกว่าบันไดปลาโจนมันขึ้นได้แต่ปลาเล็กๆ
ปลาใหญ่ๆ หายหมด...พูดแค่นี้ก็จบ
ตัดสินออกมาผมได้ที่ 1
+เสร็จเลยสิทีนี้...ตอนหลังเลยต้องขึ้นไฮด์ปาร์กตลอด
?
(หัวเราะ) ครับ
ทางคณะกรรมการเขาประกาศแต่งตั้งขึ้นมาว่าใครชนะเลิศจะได้ไปหาพ่อชวนที่หน้าทำเนียบ
ตอนนั้นเป็นยุครัฐบาลชวน 1
แต่สุดท้ายก็ได้มากันทั้ง 11
คน...ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ
+แล้วได้เจอพ่อชวนจริงมั้ย
ไม่ได้ครับ (หัวเราะ)
ได้แค่มอบดอกไม้ยื่นหนังสือให้ตำรวจ
นายกฯเขาไม่ออกมารับ
+พอต้องเข้ามาร่วมขบวนชุมนุม
แล้วเรื่องเรียนหนังสือทำยังไง
ผมลาออกจากโรงเรียนช่วงหลังๆ
ที่มาม็อบ
+ไม่ได้เรียนที่โรงเรียนแม่มูนมั่นยืนเหรอ
เปล่าครับ
ผมเรียนที่โรงเรียนวังสะแบง
อำเภอโขงเจียม
ตอนที่ลาออกจากโรงเรียนปกติเหตุผลคือ
หนึ่ง
พ่อแม่ไม่มีเงินส่งแล้ว สอง
ครูที่โรงเรียนเขาก็พูดใส่เราว่าเราเป็นพวกม็อบ
พวกขัดขวางหน่วงเหนี่ยวความเจริญ...เราก็เกิดน้อยใจ
มีปมด้อย
ไปโรงเรียนก็ไม่มีความสุข
+มีเพื่อนบ้างมั้ย
นอกจากเด็กรุ่นเดียวกันที่อยู่ในม็อบ
ไม่มีเลยครับ
พ่อคนไหนที่ไม่มาม็อบเขาก็จะพูดกับลูกว่าอย่ามาเล่นกับเรา...แม้กระทั่งครูก็พูดใส่เราแบบนี้
บางทีผมก็มานั่งสงสัยว่า
เอ๊ะ...หรือว่าเราทำผิดจริงๆ
+สรุปแล้วเปาโลได้เรียนถึงชั้นไหน
ผมจบป.5
ที่โรงเรียนวังสะแบง
แล้วมาต่อโรงเรียนมูลนิธิเด็ก
ตอนนี้ผมกำลังสมัครเรียนมัธยมต้นที่กศน.
+ตอนเด็กๆ
ก่อนที่จะมาร่วมขบวนม็อบ
เคยฝันบ้างมั้ยว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร
คิดครับ...เด็กๆ
เราก็อยากเป็นครู เป็นทหาร
เป็นตำรวจ
ตอนนั้นคิดอย่างนี้
เห็นตำรวจเขาจับผู้ร้ายเก่งจังเลยเราก็อยากเป็นบ้าง
+เสร็จแล้วก็มาถูกตำรวจไล่ตีซะเอง
?
ความฝันแบบนั้นมันหายไปตอนที่ผมมาอยู่ในม็อบ...ผมอยู่ในที่ชุมนุมก็ต้องมาเจอตำรวจสลายการชุมนุม
เอาไม้เอากระบองไล่ตีพ่อใหญ่แม่ใหญ่
+ตั้งแต่ชุมนุมมาเคยโดนหนักๆ
ไปกี่ครั้ง
หนักๆ
ก็ตอนช่วงท้ายๆ
รัฐบาลชวนครับ
ช่วงที่เอาหมามาไล่กัดม็อบ
อีกช่วงก็ตอนที่ชาวบ้านจะปีนเข้าทำเนียบ...นั่นก็หนัก
แต่ส่วนย่อยๆ
ก็ยังมีอีกเยอะ (หัวเราะ)
ถึงตอนนี้ที่เคยฝันไว้ผมก็ไม่อยากเป็นแล้ว
ผมอยากเป็นแค่ชาวนาเป็นชาวประมง
+อ้าว..แล้วไม่อยากทำงานเอ็นจีโอเหรอ
ไม่ครับ
ผมไม่เคยอยากทำงานแบบนี้เลย
ชีวิตผม...ผมอยากมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร
ไม่ต้องเดินทางไปที่ไหน
ผมอยากหาปลากับพ่อกับแม่
อยากทำนากับน้อง
แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว
ตอนนี้ผมยังคิดเลยว่าคนที่เรียนจบสูงๆ
เรียนจบปริญญา
เขาก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับเรา
เขาก็ต้องดิ้นรนหางานทำ
มีงานก็กลัวตกงาน
ตกงานมาก็ไปผูกคอตายไปโดดตึก
ขนาดคนรวยๆ
คนเรียนสูงยังเป็นอย่างนี้
ผมเองเป็นแค่ลูกชาวนาจะไปแข่งกับเขาได้ยังไง
พี่รู้มั้ย 1
ปีที่ผ่านมาที่รัฐบาลเปิดเขื่อนให้
ผมกับพ่อ...ผมกับน้องได้ออกไปหาปลาด้วยกัน
เรามีความสุขมากนะครับ
เงินเราก็มีใช้
กับข้าวเราก็สามารถเลือกได้ว่าจะกินอะไร
เรากำหนดได้ว่าวันนี้เราจะเอาตังค์กี่บาท...เราจะหาปลาอะไรที่ไหน...เราจะกินอะไร...หาปลาได้เราจะเอาไปฝากใคร
ทุกอย่างเราสามารถกำหนดได้หมด
10
ปีที่ผ่านมาเราไม่เคยกำหนดชีวิตได้
เราต้องกินปลากระป๋อง
เราต้องเอาเงินซื้อทุกอย่าง
แม้กระทั่งพริก ผงชูรส
หรืออย่างปลาร้าเราก็ต้องซื้อนะ
แต่พอเปิดเขื่อนพ่อผมเริ่มมีเงินเก็บ
ผมเองก็มีเงินเก็บของผม
น้องผมก็มีเงินไปโรงเรียนเยอะขึ้นกว่าเดิม
+แค่ปีเดียวนี่น่ะนะ
?
ใช่ครับ (ยืนยันทันที)
ก่อนเปิดเขื่อนน้องผม 3
คนได้ตังค์ไปโรงเรียนวันละบาท
บางวันก็ไม่ได้
ผมถามหน่อยว่าเด็กในเมืองได้ตังค์ไปโรงเรียนวันละกี่บาท
เขาได้กันเป็นร้อยไม่ใช่เหรอครับ...เงินขนาดนั้นน้องผมกินได้เป็นเดือน
พ่อผมเคยเล่าให้ฟังว่า
นาที่เรามีตอนนี้เป็นนาที่พอได้มาจากเงินหาปลากับพ่อใหญ่แล้วซื้อหาเอาไว้
ซื้อแล้วถึงได้มาแบ่งลูกแบ่งหลานแบ่งให้พ่อผม
+ที่บ้านตอนนี้มีนากี่ไร่
15 ไร่ครับ
+ที่ขนาดนี้เข้าสูตรเศรษฐกิจพอเพียงเลยนะ
?
ใช่ครับ...คืออย่างนี้พี่
ถ้ารัฐบาลเปิดเขื่อนปากมูลอย่างถาวร
ผมไม่ต้องซื้อข้าวเลยนะ
ปลาที่ผมเหลือกินแล้วเอาไปขายก็คือเงินเก็บล้วนๆ
ผมรู้สึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
บ้านผมมีทั้งหมด 7 คน ที่นา 15
ไร่กินกันพอครับ
แล้วปีนี้ผมเพิ่ง 18
ถ้าเปิดเขื่อนตลอดจนผมอายุ
50 เท่าพ่อ
ผมว่าถึงเวลานั้นนะ
ผมมีเงินซื้อนามากกว่า 15
ไร่อีก
+ตอนนี้ทางขบวนผู้ชุมนุมประเมินสถานการณ์ว่ายังไง...คิดว่านายกฯจะสั่งให้เปิดเขื่อนจริงมั้ย
เราไม่รู้จริงๆ
ครับ
ข้อมูลข้อเท็จจริงผลการศึกษาเป็นยังไง
เราก็บอกไปหมดแล้ว
แต่ท่านจะตัดสินใจต่อยังไงผมยอมรับว่าเดาใจยากจริงๆ
+เปาโลโตมากับรัฐบาล
4-5 ชุด
พอจะประเมินเปรียบเทียบได้มั้ยว่าแต่ละชุดที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง
คือ...คนที่ดีก็มีนะครับ
(นิ่งคิด)
แต่ผมยังประเมินอะไรสุดโต่งไม่ได้
+เอาเรื่องท่าทีก่อนก็ได้
ยังไม่ต้องพูดถึงระดับนโยบาย
ท่าทีนายกฯทักษิณก็ดีนะครับ
เปิดเวทีให้ชาวบ้านชี้แจง
เดินลงมาคุยกับชาวบ้านด้วยตัวเอง
พ่อใหญ่จิ๋วนี่ก็ถือเป็นอันดับ
2 ยังใช้ได้อยู่
คือยังลงมาพูดกับชาวบ้าน
แต่อย่างว่ามันเป็นแค่ท่าที...ยังไม่รู้ว่าเมื่อถึงระดับนโยบายแล้วท่านจะตัดสินใจยังไง
คือถ้าเรามองแบบผิวเผิน
มองแบบคนที่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างผมหรืออย่างชาวบ้านคนอื่นๆ
เราก็อาจจะมองได้ว่านายกฯคนนี้ดีนะ
อุตส่าห์ลงมาคุยลงมากินข้าวกับชาวบ้านด้วยความเป็นกันเอง
แต่ลึกๆ
แล้วเราก็ยังไม่รู้ครับว่าจะออกมารูปไหน
เราเคยประเมินกันถึงเรื่องนโยบายนะครับว่า
นโยบายอย่างการต่อสู้กับความยากจน
นโยบายอย่างให้เงินหมู่บ้านละล้าน
เอาเข้าจริงแล้วมันยิ่งทำให้ชาวบ้านแตกแยก
ซึ่งขัดกับแนวคิดที่จะสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง
แต่เมื่อปีที่ผ่านมามีคำสั่งให้เปิดเขื่อน
ผมว่านี่คือวิธีที่จะสร้างความเข้มแข็งสร้างความปรองดองให้กับชุมชนอย่างแท้จริง
เราได้ออกหาปลาด้วยกัน
เราได้กินข้าวป่าด้วยกัน (กินข้าวป่า มีความหมายใกล้เคียงกับการตั้งแคมป์หรือปิกนิก)
เราได้ไปเนาด้วยกัน (เนา เป็นประเพณีของชาวอีสาน
ชาวบ้านจะออกหาปลาแล้วเอาปลามารวมกันก่อนที่จะแบ่งไปตามบ้าน
อาจมีการนิมนต์พระไปร่วมฉันด้วย)
แล้วพอถึงช่วงนี้ชาวบ้านก็จะไม่มีการมาแบ่งนะครับว่า
กูเป็นคนเรียกร้องให้เปิดเขื่อน
เมื่อก่อนมึงไม่เห็นมาสู้
มึงบอกให้ปิดเขื่อนก็ได้
เพราะฉะนั้นมึงไม่ต้องมาหาปลา...ชาวบ้านเขาไม่พูดกันอย่างนั้นนะครับ
ใครหาได้ก็หาไป
แล้วส่วนมากคนที่ไม่ได้มาชุมนุมกับเรา
เขาหาปลาได้เยอะกว่าเราด้วยซ้ำ
+ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ
เพราะว่าอะไร...เพราะพวกนี้เขามีเวลาที่จะเตรียมเครื่องมือประมง
เขาไม่ต้องมาชุมนุม
พอฟังข่าวว่าจะเปิดเขื่อนเขาก็เตรียมเครื่องมือหาปลาได้พร้อมกว่าเรา
อย่างกำนันเสวก (เสวก
บรรเทา อดีตกำนันในจังหวัดอุบลราชธานี
ผู้ประกาศตัวว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามม็อบปากมูล)
บ้านเขาก็หาปลา
ตอนนั้นชาวบ้านยังเคยไปถามเขาเลยว่า
เปิดเขื่อนแล้วเป็นยังไง
หาปลาดีขึ้นมั้ย
เขาก็ตอบเป็นภาษาอีสานว่า
โอ้ย...มีปลาหลายเนาะ
เห็นด้วยนำอยู่ดอก - ว่าซั่น
(หัวเราะ)
คือเขาก็เห็นประโยชน์จากการเปิดเขื่อน
+อ้าว..เห็นด้วยแต่ไม่ลงแรง
?
คือมันเป็นอย่างนี้พี่...มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี
เรื่องของเงินๆ ทองๆ
คือคนที่ออกมาพูด
ออกมาวิจารณ์ชาวบ้าน
พวกนี้ส่วนใหญ่เขาก็ได้ผลประโยชน์จากกฟผ.บ้าง
อย่างอดีตแกนนำสมัชชาคนจนบางคนก็ถูกกำนันเสวกซื้อ
กำนันเสวกก็ได้จากกฟผ.อีกต่อหนึ่ง
เขาก็ต้องพูดไปตามบท
แต่ข้อเท็จจริงเป็นยังไงเขาก็เห็น
ซึ่งต่อให้เขาก็ได้ประโยชน์ข้อเรียกร้องของเราแต่มันก็ต้องพูดตามบท
ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้หมดครับ
ตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
อบต.
แม้กระทั่งนักข่าวท้องถิ่น
ซึ่งถ้าไปถามกันลึกๆ
ถามความรู้สึกของเขาจริงๆ
ผมคิดว่าเขายังต้องการให้เปิดเขื่อน
พี่ลองไปถามชาวบ้านที่เขาถูกจ้างให้นั่งรถมาคัดค้านเราก็ได้
เขามีข้าวกิน เขามีเงินจ้าง
จ้างมาวันสองวันเขาก็กลับ
ได้เงินกลับบ้าน
ทำไมชาวบ้านจะไม่เอาล่ะดีกว่าอยู่เฉยๆ
แต่ถ้าไปถามจริงๆ
ถึงเวลาเปิดเขื่อนเขาก็เห็นว่าอะไรเป็นอะไร
เขาเองก็มาหาปลากับพวกเราด้วย...เขาก็มาไหลมองที่เดียวกับเรานี่แหละ
(ไหลมอง คือวิธีจับปลาโดยใช้มองเป็นอุปกรณ์)
+ถึงเวลาอย่างนั้นไม่มีทะเลาะกันบ้างเหรอ
ไม่มีครับ
ในส่วนของสมัชชาคนจน
เราพยายามบอกให้ชาวบ้านเข้าใจร่วมกันว่า
คนที่เราต้องต่อสู้คือรัฐบาล
ไม่ใช่ชาวบ้านด้วยกันเอง
+พูดถึงเรื่องที่เปาโลบอกว่าอีกฝ่ายเขาถูกจ้างมา
ถ้าอย่างนั้นคนทั่วไปก็คงมีคำถามเหมือนกันว่าชาวบ้านปากมูลเองล่ะถูกจ้างมาด้วยหรือเปล่า
มันก็เป็นธรรมดาครับ...ผมก็เคยได้ยินอย่างนี้มาเยอะ
แต่ถ้าคนกรุงเทพฯหรือคนในเมืองสงสัยว่าเราจะถูกจ้างหรือถูกเอ็นจีโอหลอกมาหรือเปล่า
ผมว่าวิธีที่ดีที่สุดคือมาลงพื้นที่ดูสิครับ
ลงมาดูสภาพการอยู่การกินของเรา
ลงมาดูบรรยากาศการชุมนุม
ลองคิดดูเราชุมนุมต่อเนื่องเรียนรู้กระบวนการต่อสู้
ผ่านบทเรียนลองผิดลองถูกกันมาเป็นสิบๆ
ปี
เอ็นจีโอจะเก่งถึงขั้นหลอกชาวบ้านได้เป็นสิบๆ
ปีเหรอ
จะมีใครหลอกชาวบ้านเป็นพันๆ
คนต่อเนื่องกันได้เป็น 10
ปีเหรอครับ
ก็เหมือนอย่างที่ผมบอกที่พ่อผมตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุม
ไม่ใช่เพราะว่าเชื่อเอ็นจีโอ
แต่พ่อกับผมเห็นกับตาว่าพอสร้างเขื่อนขึ้นมาแล้วปลามันหายไปจริงๆ
พี่ลองดูก็ได้...อยู่บ้านดีๆ
มีใครอยากมานอนตบยุงดมควันรถเมล์เหรอ
ผมก็อยากกลับบ้าน
อยากไปสูดอากาศที่บ้านเหมือนคนอื่นๆ
แล้วถ้ามีใครมาจ้างพวกเรา
ผมว่าอย่างน้อยคนๆ
นั้นต้องพิมพ์เงินเองได้แน่ๆ
คนเป็นพันนะครับ อ่ะ...ถ้าจ้างหัวละร้อยเป็นเวลา
10 ปี
พี่ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่
+สำหรับคนที่เขาบอกว่าเราเรียกร้องไม่สิ้นสุดได้คืบจะเอาศอก
ที่ดินทำกินก็ให้แล้ว
เงินชดเชยก็ให้แล้ว
จะเอาอะไรอีก
อย่างนี้เปาโลจะว่ายังไง
ตอนสร้างเขื่อนเขาให้ค่าชดเชยอย่างนี้ครับ
คนที่ถูกน้ำท่วมที่นารัฐก็จะจัดสรรที่ให้
แต่จัดสรรที่แบบไหนตรงไหนมันก็อย่างที่เรารู้
คือมันเป็นที่ๆ
ทำกินเกือบไม่ได้
ดินมันไม่เหมือนกับดินที่เราใช้ปลูกข้าว
ส่วนบ้านไหนที่น้ำไม่ท่วมนาเหมือนครอบครัวผม
เราก็จะได้แค่ค่าชดเชยค่าสูญเสียโอกาสจากการจับปลาเป็นเวลา
3 ปี
ซึ่งเขาก็คำนวณออกมาเป็นเงิน
9 หมื่นบาท แล้ว 9
หมื่นบาทนี่ก็ไม่ได้ให้ทีเดียว
จ่ายเป็นเงินสด 3 หมื่นบาท
ที่เหลืออีก 6
หมื่นต้องโอนเข้ากองทุน
เงิน 3
หมื่นผ่านมา 10
ปีโดยที่พวกเราทำมาหากินไม่ได้เดี๋ยวเดียวมันก็หมด
แล้วเงินอีก 6
หมื่นที่เข้ากองทุน
พอถึงกำหนดเขาเปิดให้ชาวบ้านกู้ยืม
ชาวบ้านก็ไปกู้
กู้มาแล้วไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไรเราก็ไม่มีเงินใช้คืน
สุดท้ายก็ต้องลาออกจากกองทุนให้เขายึดเงินไป...บางคนก็เป็นหนี้กันต่อ
แล้วต่อให้เราได้เงินเต็ม
9 หมื่นจริงนะครับ...(นิ่งคิด)
ผมก็ไม่รู้ว่านายกฯเงินเท่าไหร่
แต่เงิน 9
หมื่นนั้นมันผ่านมา 10 ปีแล้ว
เราเองยังต้องมีชีวิตต่อ
เขาเอาเงิน 9
หมื่นมาซื้อเราทั้งชีวิต
+บางคนเขาสงสัยว่า
ทำไมชาวบ้านหรือคนหาปลาแม่น้ำมูลถึงไม่ลองดิ้นรนทำมาหากินอย่างอื่นบ้าง
?
มันไม่เหมือนกันนะครับ
สมมติว่าคนกรุงเทพฯเรียนบัญชีจบบัญชีมา
พอทำงานบัญชีอยู่บริษัทหนึ่งแล้วบริษัทเกิดเจ๊ง
อย่างมากเขาก็ไปหาบริษัทใหม่ทำต่อ
บริษัทใหม่เจ๊งอีกก็อาจจะรอจังหวะหาโอกาสทำบริษัทอื่นๆ
ได้อีก เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ
แต่คนหาปลามันเป็นภูมิปัญญาเฉพาะ
อย่างผมกับพ่อรู้จักก้อนหินทุกก้อนในแม่น้ำมูล
รู้ว่าน้ำใต้แก่งเป็นยังไง
รู้ว่าถ้าเราจะหาปลาชนิดนี้พันธุ์นี้เราต้องใช้เครื่องมือชนิดไหน
และจะออกไปเวลาไหน
แต่สมมติผมจะเอาวิธีเดียวกันไปหาปลาที่แม่น้ำโขง
สภาพมันก็ต่างกัน
เราอาจจะหาปลาไม่ได้เลยก็ได้
ก็เหมือนพ่อผมตอนนี้ต้องมาเป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ
หาเงินเลี้ยงชีวิตไปวันๆ
เรายังดิ้นรนไม่พออีกเหรอ
+คนกลุ่มเดิมเขาอาจจะถามว่า
แทนที่ชาวบ้านจะเรียกร้องฝ่ายเดียว
ทำไมคนปากมูลถึงไม่รู้จักเสียสละเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมบ้าง
?
เหมือนที่เขาบอกว่าเขื่อนลงทุนสร้างไปตั้ง
7 พันล้านแล้ว
ถ้าเปิดเขื่อนเงินทุนก็จะสูญเปล่า...อย่างนี้ใช่มั้ยครับ
ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ดีกว่า
คือเงิน 7 พันล้าน
สมมติเราลงทุนเป็นค่ายาเอามารักษาชาวบ้าน
ตอนแรกก็บอกว่าจะช่วยให้ทำนาได้ปีละ
2 ครั้ง
จะช่วยให้หาปลาได้เยอะขึ้น
แต่สุดท้ายก็เอาไปปั่นไฟป้อนคนเมือง
แล้วเขื่อนปากมูลก็ปั่นไฟได้น้อยมากนะครับ
ถามว่าแล้วส่วนรวมที่พูดนี้หมายถึงใคร
เพราะปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้มันรองรับคนแค่หยิบมือเดียวให้มีไฟฟ้าใช้เพิ่มขึ้น
ตอนหลังกฟผ.เองก็ออกมายอมรับว่าถึงปิดเขื่อนตอนนี้ก็ยังมีไฟใช้จนถึงปี
48
แต่เมื่อเทียบกับความเดือดร้อนของคนที่ต้องเสียสละ
ผมมองว่าค่ายา 7
พันล้านที่ลงทุนไป
แทนที่มันจะช่วยเยียวยารักษาโรค
มันกลับทำให้ชาวบ้านป่วยทรุดหนักเข้าไปอีก
ยิ่งใช้ยาตัวนี้เรายิ่งป่วย
พอหยุดใช้ปีเดียวอาการเราดีขึ้นทันตาเห็น
มองอย่างนี้ต่อให้ลงทุน 7
พันล้านแล้วเอาไปซื้อความป่วยไข้...เราจะไปลงทุนทำไมครับ
ลงทุนเพื่อเลี้ยงไข้ทำให้อาการเรายิ่งทรุดลงเรื่อยๆ
เหรอ...มันเป็นเหตุเป็นผลเหรอครับ
+ข้อเรียกร้อง 3
ข้อที่บอกว่าให้เปิดเขื่อนถาวร
คืนชีวิตให้ชุมชน
และเอาธรรมชาติระบบนิเวศกลับคืนมา...อันนี้มายังไง
เพราะอย่างข้อแรกคนเมืองก็คงพอเข้าใจว่าเปิดเขื่อนก็คือเปิดเขื่อน
แต่ 2
ข้อหลังอย่างคืนชีวิตคืนระบบนิเวศ
เปาโลคิดว่าต้องทำยังไง
ข้อเรียกร้องทั้งหมดมาจากการประชุมกันของชาวบ้าน
ตอนแรกเราก็ถกเถียงกันว่าจะเรียกร้องเป็นตัวเงินอีกหรือเปล่า
แต่ตอนหลังข้อเสนอนี้ก็ตกไปเพราะ
หนึ่ง
มันไม่ชอบธรรมในสายตาสังคม
สอง เงินไม่ใช่สิ่งยั่งยืน
เราต้องการเพียงวิถีชีวิตของเรากลับคืนมา
คืนระบบธรรมชาติระบบนิเวศก็คือว่า
แก่งไหนที่รัฐบาลเคยระเบิดก็ต้องเอาหินเอาแก่งกลับคืน
เพราะแก่งเป็นแหล่งอนุบาลพันธุ์ปลา
ไม่มีแก่งก็ไม่มีปลา
แม่น้ำไม่ใช่มีแค่น้ำไหลเฉยๆ
แต่มันมีรายละเอียดชีวิตอยู่ในนั้น
คืนชีวิตเรากลับมาก็คือ
คืนวิถีชีวิตชาวประมงกลับมา
10 ปีที่เราชุมนุมเรียกร้อง
เราต้องขายเรือขายเครื่องมือประมงเอามายังชีพ
เรือหาปลาลำหนึ่งไม่ใช่ถูกๆ
นะครับ ลำหนึ่งเป็นหมื่น
รัฐบาลต้องชดเชยชีวิตคืนให้เราด้วย
ต้องหาเครื่องมือยังชีพให้เรา
ผมอยากให้รัฐบาลทำตามผลวิจัยของม.อุบลฯ
ลองเปิดเขื่อนสัก 5 ปีก็ได้
แล้วเรามาดูกันว่าชีวิตผมเป็นยังไง
ดูว่าพ่อผมน้องผมเป็นยังไง
ถ้าผ่านไป 5
ปีผมยังหาปลาไม่ได้
ชีวิตผมไม่ได้ดีขึ้นจริง
ผมจะยอมเลิกเรียกร้องทุกอย่าง
เลิกชุมนุมผมไม่เอาอะไรแล้ว
ไม่ต้องมีใครมาสนใจผม
ปล่อยให้ผมไปคุ้ยขยะที่ไหนกินก็ได้
+เรื่องแบบนี้เปาโลคิดเองเหรอ...หรือว่ามีคนมาบอกให้เราพูดแบบนี้
เห็นคนเขาสงสัยกันเยอะว่าชาวบ้านจบแค่ชั้นประถมคิดอย่างนี้จริงๆ
เหรอ
ผมไม่ได้เรียนในระบบครับ
แต่ผมเรียนจากชีวิตจริง
วันๆ
ผมก็นั่งฟังพ่อใหญ่แม่ใหญ่เขาคุย
เขาก็พูดถึงวิถีชีวิตของเขาว่าเคยเป็นยังไง
พ่อผมก็เคยเล่าให้ฟังบ้าง
เราก็จับมาปะติดปะต่อ
เพราะมันเป็นชีวิตจริง
มันเป็นธรรมชาติที่ไม่มีในตำราแต่เราเห็นมาด้วยชีวิต
สำหรับอาจารย์นักวิชาการหลายท่านที่ลงมาทำงานกับชาวบ้าน
เขาก็มาพูดอีกแบบ
พูดเรื่องสิทธิพื้นฐาน
พูดเรื่องระบบคิดทางวิชาการ
+คือนักวิชาการก็มาสอนให้เราคิดเป็นระบบคิดขึ้น
?
ใช่ครับ
มันก็ทำให้เราสามารถเรียบเรียงเนื้อหาที่พ่อใหญ่แม่ใหญ่พูดกระจายๆ
กลายเป็นโครงใหญ่ขึ้นมา
ทำให้เรามองเห็นภาพทั้งภาพ
+ระหว่างสู้กับรัฐบาล
กับสู้กับความเข้าใจของคนอื่นๆ
ในสังคม อันไหนยากกว่า
อันหลังครับ...รัฐบาลเราก็เรียกร้องไป
ถึงเวลาเราก็สู้เราเห็นตัวเห็นเป้าหมายชัด
แต่คนร่วมสังคมที่เขาไม่เข้าใจบางทีมันทำให้เราท้อแท้
เรามีทุกข์เราจึงมาเรียกร้องแต่ก็ถูกมองว่ามีเบื้องหลัง
บางคนก็มองว่าเราโง่ถูกคนหลอกมาอีกที
ผมเองก็ไม่เข้าใจ
ทีคนกรุงเทพฯถูกเวนคืนบ้านเขายังสู้ยังเรียกร้องกันได้
แล้วทำไมชาวบ้านอย่างเราจะสู้เพื่อสิทธิเราบ้างไม่ได้...ผมอยากให้คนเมืองมาดูพวกเรามาลงพื้นที่ดูเหตุการณ์จริง
ถ้าเขาได้เห็นเขาอาจจะเปลี่ยนความคิด
+ถามจริงๆ
ร่วมขบวนมาตั้งแต่เด็กอย่างนี้
มีช่วงไหนรู้สึกกลัวบ้างมั้ย
กลัวสิครับ
กลัวไปหมดแหละ
กลัวถูกกลั่นแกล้ง
กลัวถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองใช้กฎหมายมาทำร้ายเรา
กลัวคนอื่นจะมองเราไม่ดี
ทุกวันนี้ผมขึ้นเวทีไฮด์ปาร์กกลายเป็นเป้าสายตาคน
ก็ต้องคอยรักษาภาพพจน์
ไม่อยากให้คนมองว่าเราเป็นคนเหลวไหลไม่ได้เรื่อง
+ถ้ากลัวแล้ววันที่เข้าไปคุยกับนายกฯ
พอนายกฯถามว่าเปาโลแปลว่าอะไร...ทำไมไปตอบเขาอย่างนั้น
(หัวเราะ)
ตอนนั้นผมคิดแค่นั้นจริงๆ
คือเราก็เตรียมประเด็นเตรียมข้อมูลที่จะไปพูดปัญหาของเรา
เพราะโอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีบ่อย
ทุกอย่างมันสุมอยู่ในหัวผมเต็มไปหมด
พอนายกฯทักษิณถามผมก็เลยตอบไปแบบนั้น
(หัวเราะ)
+ไม่คิดเหรอว่า
ถ้าเราตอบไปดีๆ
ก็น่าจะช่วยให้บรรยากาศการพูดคุยดีขึ้น
ปัญหาต่างๆ
ก็อาจจะคุยกันง่ายขึ้น
ตอนนั้นผมไม่มีสติจะไปคิดเชื่อมโยงอะไรได้ขนาดนั้น
ผมคิดอย่างเดียวว่าเวลามีน้อย
ผมต้องรีบพูดประเด็นปัญหา
ถ้าผมไปพูดประเด็นอื่นมันจะสูญเสียโอกาส
เบียดเบียนประเด็นที่ผมเตรียมไว้ในหัว
+แล้วตอนนี้พูดได้หรือยังว่าชื่อเปาโลมาจากไหน
(หัวเราะ)
ไม่มีอะไรครับ
ตอนนั้นแป้งเปาโลมันดัง...ดังมาก
พอเกิดมาพ่อกับแม่ก็ใช้แต่แป้งเปาโลทาตัวผม
สุดท้ายพ่อก็เลยบอกว่า เอ้า
ชื่อเปาโลก็แล้วกัน (หัวเราะ)
+รู้สึกมั้ยว่าตัวเราเป็นคนก้าวร้าว
(นิ่งคิด)
ผมยอมรับนะครับว่าผมเป็นเด็กแก่แดด
แต่ผมโตมาแบบนี้
ผมคุยแต่กับพ่อใหญ่แม่ใหญ่
พูดกันแต่เรื่องปัญหา
มองไปทางไหนก็มีแต่ปัญหา
มีแต่เรื่องต้องเข้าไปต่อสู้เรียกร้อง
ผมเห็นคนถูกตีเห็นชาวบ้านถูกรังแก...ผมอาจจะก้าวร้าวก็ได้
แต่ผมโตมากับสภาพแวดล้อมแบบนี้
+เคยเปรียบเทียบตัวเองกับเด็กรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ
บ้างมั้ย
บางทีก็คิดครับ
ถ้าบ้านผมหาปลาได้ผมคงไม่ต้องมานั่งอยู่ที่นี่
พี่รู้มั้ยทุกวันนี้ผมคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันคนอื่นไม่รู้เรื่อง
เขาพูดถึงดาราคนนั้นคนนี้
พูดถึงนักร้องดังๆ
ผมไม่รู้จักสักคน (หัวเราะ)
ถ้าไม่มีเรื่องเขื่อนผมก็อยากเป็นเด็กอ่อนโยนเหมือนคนอื่น
แต่ผมโตขึ้นมาจากเด็กก็เป็นผู้ใหญ่เลย
ผมไม่มีเวลาเป็นวัยรุ่นไปเที่ยวเล่นกับใคร...บางทีผมก็รู้สึกนะ
ผมก็อยากเที่ยวเล่นอยากมีเวลาสนุกเหมือนคนอื่นบ้าง
แต่อีกทางหนึ่ง
ผมก็มีโอกาสได้คิด
มีโอกาสรับรู้เรื่องที่คนรุ่นเดียวกันเขาไม่มีวันเข้าใจ
ทุกวันนี้เด็กวัยรุ่นบ้านผมบางคนก็ไปกินยาบ้า
ไปเป็นขโมย
แต่ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ผมก็เลยไม่รู้สึกว่าสูญเสียอะไรมาก
แต่ถ้าผมไม่สู้สิ...ผมอาจจะกลายเป็น...(คิดนาน)
อะไรก็ไม่รู้
+เปาโลยืนยันเหรอว่า
อนาคตไม่อยากทำงานต่อสู้แบบนี้อีก
ไม่ล่ะครับ
หมดจากการต่อสู้ครั้งนี้ผมก็อยากกลับบ้าน
อยากกลับไปหาปลา
ไม่อยากมาชุมนุมที่นี่แล้ว
ถ้าหากนายกฯทักษิณทำตามคำเรียกร้อง
3 ข้อ
ผมคิดว่าไม่มีใครอยากมาชุมนุมหรอก
ที่ผมกับพ่อใหญ่แม่ใหญ่ต้องมาที่นี่เพราะเราไม่มีที่จะไป
เราไม่มีอนาคต
เราไม่รู้จะไปทำอะไร
ผมเองเรียนก็ไม่สูง
ที่เรามาเพราะหลังชนฝาเป็นหมาจนตรอกแล้ว |