แผนพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง Greater Mekong Subregion-GMS [1]
ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย-เอดีบีได้เสนอแผนพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงหรือ
GMS แก่รัฐมนตรีประเทศลุ่มน้ำโขงทั้ง๖ ประเทศ (กัมพูชาแคว้นยูนานของประเทศจีนลาว
พม่าเวียดนาม และ ไทย) เมื่อปี๒๕๓๕ และแผนนี้ได้มีแนวทางดำเนินการเป็นรูปธรรมมากขึ้นโดย
เอดีบีได้จัดทำเป็นแผนพัฒนาเพื่อใช้ในการประชุมรัฐมนตรีในเดือนพฤศจิกายน๒๕๔๔
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และนำมาซึ่งความมั่งคั่งและปราศจากความยากจนในภูมิภาคอีกต่อไป
โดยเน้นที่การพัฒนาการขนส่งและเส้นทางเศรษฐกิจ (economic corridor), การสื่อสาร,
การแลกเปลี่ยนพลังงาน, การค้าข้ามพรมแดน, การจัดการการลงทุน, ส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
แผนพัฒนานี้ตั้งอยู่บนฐานคิดที่ว่าประเทศในภูมิภาคนี้กำลังก้าวเข้าสู่ระบบตลาดมากขึ้นบางประเทศพัฒนาไปอย่างมากแต่อีกหลาย
ประเทศก็ยังยากจนและพึ่งพากับเกษตรกรรมแบบพึ่งตนเองดังนั้นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติเหลือเฟือแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์
ควรขายให้แก่ประเทศที่ต้องการใช้ทรัพยากรเหล่านั้น
โครงการหลักของ
GMS
เนื่องจากการค้าข้ามพรมแดนต้องพึ่งพาการขนส่งทางถนนโครงการดังต่อไปนี้จึงมีความสำคัญ
เส้นทางเศรษฐกิจเหนือ-ใต้
The North-South Economic Corridor
เส้นทางเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก
The East-West Economic Corridor
เส้นทางเศรษฐกิจด้านใต้
The Southern Economic Corridor
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดระบบที่มีประสิทธิภาพในการขนย้ายสินค้าและประชาชนในภูมิภาคโดยไม่มีอุปสรรค
(ดูแผนที่แนบ)
โครงการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ICT
การเชื่อมต่อพลังงานในภูมิภาคและการค้า
โดยให้เหตุผลว่าบางประเทศมีพลังงานเหลือหรือมีศักยภาพในการผลิตพลังงานได้มากในขณะ
ที่ประเทศอื่นขาดแคลนพลังงานเป็นการเชื่อมต่อพลังงานเพื่อให้มีความมั่นคงและมีราคาถูกลง
อำนวยความสะดวกแก่การค้าข้ามพรมแดนและการลงทุน
มีวัตถุประสงค์เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาค
, สร้างบรรยากาศในการลงทุนให้นักลงทุนทั้งในและนอกภูมิภาค
ขยายการมีส่วนร่วมและการแข่งขันของภาคเอกชนเพื่อให้ธุรกิจภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
พัฒนาทรัพยากรมนุษย์และทักษะ
โครงงานยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม
การควบคุมน้ำท่วมและการแก้ไขปัญหา
การพัฒนาการท่องเที่ยว
แผนพัฒนาเหล่านี้นอกจากเน้นที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว
ยังรวมถึงการแก้ไขนโยบายและกฎระเบียบต่างๆของประเทศสมาชิกเพื่อให้การค้าข้ามพรมแดน
เหล่านี้เป็นไปได้อย่างสะดวกเช่นขั้นตอนศุลกากรแบบขั้นตอนเดียว
โครงการหลักๆ
ที่ควรให้ความสนใจ
เส้นทางเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก
The East-West Economic Corridor
ส่วนมากเป็นโครงการการพัฒนาการขนส่งเชื่อมระหว่างทะเลอันดามันประเทศพม่าทะลุผ่านประเทศไทย
ออกทะเลจีนใต้ในเวียดนาม เพื่อเชื่อมต่อกับนอกภูมิภาค โดยเฉพาะญี่ปุ่น โดยมีโครงการหลักๆ
เช่น ท่าเรือน้ำลึกที่มะละแหม่ง , ถนนในประเทศพม่า มะละแหม่ง-เมียวดี
รวมถึงเขตอุตสาหกรรมพิเศษที่อ.แม่สอด
ซึ่งรัฐบาลไทยวางแผนไว้ว่าจะพิจารณาในปี 2546-2547
เส้นทางเศรษฐกิจเหนือ-ใต้
The North-South Economic Corridor
แทบทั้งหมดเป็นโครงการเกี่ยวกับการขนส่ง
เช่น ปรับปรุงถนนเชื่อมคุนหมิง-ผ่านพม่า-เข้าเชียงราย,โครงการปรับปรุงการเดินเรือแม่น้ำโขงเพื่อการพาณิชย์
(ระเบิดแก่ง)
รวมถึงการเชื่อมส่งพลังงาน
เช่น
1)
สายส่งขนาด 500 กิโลวัตต์ 1 สาย จาก นาบอน ประเทศลาว-อุดร
2)
สายส่งขนาด 500 กิโลวัตต์ 2 สาย จากเขื่อนท่าซาง-แม่เมาะ-ท่าตะโก
3)
การเชื่อมต่อระหว่างเขื่อนจิงหง ในแคว้นยูนาน-ประเทศไทย
การเชื่อมต่อพลังงานในภูมิภาคและการค้า
เน้นที่การใช้พลังงานน้ำจากเขื่อนและก๊าซธรรมชาติ
เพราะใหเหตุผลว่าไม่ก่อปรากฎการณ์เรือนกระจก เป็นการเชื่อมต่อพลังงานในภูมิภาคและสร้างตลาดพลังงาน/ระบบซื้อขายพลังงาน
โดยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน-IPP เข้ามามีส่วนร่วมด้วย และโครงการที่สำคัญที่สุดคือโครงการเขื่อนจิงหง
เพื่อส่งพลังงานมาประเทศไทย และเขื่อนท่าซางที่ส่งพลังงานมาประเทศไทยเช่นเดียวกัน
ในแผนงานยังระบุว่า
โครงการเหล่านี้ยังไม่รวมโครงการไฟฟ้าพลังน้ำอื่นๆที่อาจเป็นไปได้ในลุ่มน้ำอื่นในภูมิภาคนี้
เช่น เขื่อนแม่น้ำสาละวิน
ข้อสังเกต
จะเห็นได้ว่า
GMS เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจโดยดึงทรัพยากรธรรมชาติในภูมิภาคมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลาวเพื่อขายให้แก่ประเทศไทย หรือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในพม่า
เช่น ถนน และเขื่อน ทั้งนี้เพื่อดูดทรัพยากรเหล่านั้นให้เปลี่ยนเป็นตัวเงิน
โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่เน้นที่ประเทศอื่นๆนอกจากประเทศไทย เนื่องจาก ประเทศไทยผ่านขั้นตอนพัฒนาเหล่านี้มาแล้ว (คำกล่าวของประธานจีเอ็มเอส
ของเอดีบี ที่กล่าวกับชาวบ้านและเอนจีโอในที่ประชุมเมื่อปี 2545)
และประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาค
(hub) เพราะอาจจะไม่มีทรัพยากรเหลือให้แปรเป็นเงินอีกแล้ว
แผนพัฒนานี้มองว่าทรัพยากรเป็นสิ่งที่ควรนำมาใช้เพื่อก่อความมั่งคั่งแก่ภูมิภาค
และเชื่อมต่อการค้ากับประเทศอื่นนอกภูมิภาค โดยจะเห็นว่ามีการสร้างถนนมากมายเพื่อขนส่งสินค้าออกสู่ทะเล
เพื่อดึงทรัพยากรมาใช้ให้มากที่สุด
แม้จะมีแผนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม
ที่อ้างว่าเพื่อช่วยจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ก็เป็นไปเพื่อพาณิชย์
เช่น โครงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติทะเลสาบเขมร ที่ส่งเสริมให้รัฐเข้าไปควบคุมการจัดการทรัพยากรประมงของชุมชนในทะเลสาบเขมร
อย่างไรก็ตาม
เอดีบีกล่าวว่านี่คือแผนพัฒนาร่วมกันของ 6 ประเทศ และเอดีบีเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกเท่านั้น
ไม่สามารถรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นได้
หลังจากการประชุมรัฐมนตรีฯ
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕ ที่พนมเปญ ซึ่งมีการลงนามข้อตกลงในการพัฒนาภูมิภาคร่วมกัน
จะเห็นว่าโครงการต่างๆในภูมิภาคเริ่มดำเนินการมากมายหลังจากนั้น
|