หมู่บ้านริมห้วย
กลางป่าสาละวิน
อาทิตย์ ธาราคำ
เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เรือหางยาวพาเราออกจากท่าน้ำฝ่าสายหมอกยามเช้ามุ่งขึ้นเหนือ ผ่านสองฟากฝั่งน้ำที่สวยงาม
บางแห่งเป็นหินผางตั้งตระง่านราวกับประติมากรรมที่สายน้ำสร้างไว้ มี ทีลอจอ
น้ำตกสีเขียวที่ปกคลุมด้วยมอส ชาวบ้านบอกว่าหน้าแล้งนกจะมากินน้ำที่นี่ บางแห่งเป็นป่าริมน้ำ
มีโขดหินและต้นไคร้น้ำขึ้นเขียวชอุ่ม เมื่อฤดูฝนเวียนมาถึงในปีหน้า ไคร้น้ำและพืชพรรณต่างๆ
ในป่าริมน้ำเหล่านี้ก็จะจมอยู่ใต้น้ำ เป็นอาหารให้กับปลาในน้ำสาละวิน พุ่มไม้และโขดหินเหล่านี้จะเป็นแหล่งวางไข่ชั้นดีของปลา
ผืนป่าผลัดใบยังเขียวชอุ่มในฤดูกาลฉ่ำฝน
ประมาณ ๔ ชั่วโมงจากท่าเรือแม่สามแลบ เราก็ถึงวังน้ำใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกเป็นภาษาพม่าว่า
เว่ยจี ซึ่งน้ำสาละวินก่อนถึงบริเวณเว่ยจี เป็นโตรกผาแคบยาวหลายกิโลเมตร
ชาวบ้านเล่าว่ายามหน้าน้ำหลาก น้ำที่ถูกบีบอัดมาจะไหลวนตรงเว่ยจี ถ้าน้ำขึ้นสูงและไหลแรงน้ำที่ไหลมาจากโตรกจะวนและระเบิดพุ่งขึ้นเหมือนน้ำพุ
ชาวเรือต้องค่อยๆ ขับเรือเลาะชายฝั่งด้านพม่าด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ฟังแบบนี้ถ้าคิดจะมาสาละวินหน้าฝนคงต้องพบกับความตื่นเต้นพอสมควร
เราลงเรือตรงปากห้วยแม่แต๊ะหลวง ซึ่งไหลลงมาบรรจบกับสาละวินที่เว่ยจี มีชาวบ้านมารอรับเราหลายคนราวกับเราเป็นญาติที่มาเยี่ยม
หลังจากพักทานข้าวแล้วเราก็ออกเดินทางตามลำห้วย ชาวบ้านบอกว่าเดินประมาณ
๓ ชั่วโมง แปลว่าพวกเราเดินอย่างต่ำ ๔ ชั่วโมงแน่นอน ทางที่เราเดินเป็นทางเท้าทั้งเลาะลำห้วย
ข้ามห้วยตัดโค้งน้ำ และขึ้นดอยบ้าง ชาวบ้านกับพวกที่เดินเร็วก็ล่วงหน้าหายไปเลย
เพราะพวกเรามัวแต่ตะลึงชมความงามถ่ายรูปลำห้วยที่เราไม่เคยพบมาก่อน ห้วยอะไรเนี่ย
จะสวยเกินไปแล้ว
น้ำในลำห้วยใสสะอาด โขดหินสวยงามหลากสีทอดตัวอยู่ริมฝั่งน้ำ มีทั้งสีม่วง
สีเขียว และสีคราม ฝูงปลาตัวน้อยว่ายน้ำกันสนุกสนาน ปลาเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นปลาจากสาละวินที่ขึ้นมาวางไข่ในห้วย
ก่อนที่จะกลับไปเจริญเติบโตในแม่น้ำใหญ่ต่อไป
เสียงน้ำในลำห้วยไหลกระทบหินดังกระจุ๋งกระจิ๋ง ทำให้เราไม่หมดกำลังใจที่จะเดินต่อไป
ชาวบ้านบอกว่าค่อยๆ เดินก็ได้เพราะไม่หลงแน่นอน เดินตามน้ำไปเรื่อยๆ ก็ถึงหมู่บ้านเอง
เดินไปนานน้ำที่พกมาด้วยก็หมด แต่ไม่มีปัญหาเพราะตลอดเส้นทางมีลำธารเล็กๆ
และตาน้ำซับเย็นชื่นใจให้เราแวะใช้ใบไม้ตักดื่มให้หายเหนื่อยได้ตลอด นี่สิน้ำแร่ธรรมชาติของแท้
สดจากแหล่ง
ระหว่างทางเราแวะทักทายชาวบ้านที่ออกมาจับปลา ลูกชายหนุ่มน้อยใช้ ปกะ (แห)
หาปลาใกล้ๆ วังน้ำ พวกเราจึงเข้าไปขอถ่ายรูป เท่านั้นแหละทั้งครอบครัวก็มายืนตัวตรงเรียงหน้ากระดานให้เราถ่ายรูปตามที่ขอมา
แม้จะพยายามบอกว่าไม่ต้องยืนตรงหรอกค่ะ จับปลาแบบที่ทำเมื่อกี้แหละ ครอบครัวนี้ก็ยังยืนยันที่จะให้เราถ่ายรูปท่าเคารพธรงชาติ
มัวแต่โอ้เอ้ชมลำธาร เดินสิบนาทีพักสิบนาที จนเกือบค่ำเราก็มาถึงหมู่บ้านแรกบนลำห้วยนี้
คือหมู่บ้านจอซีเดอ เป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงที่มาตั้งรกรากในหุบห้วยแห่งนี้มานาน
ภายหลังถูกการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน สำหรับพวกเราแล้วหมู่บ้านนี้ถือว่าไกลมาก
จนบางคนอยากจะจับไหล่พ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) เขย่าแล้วถามว่า ทำไม ทำไมต้องมาตั้งหมู่บ้านอยู่ไกลขนาดนี้ด้วย!!!
แต่คงต้องบอกตัวเองว่า เรานั่นแหละ ที่อยู่ในเมืองไกลหมู่บ้านต่างหาก \
พ่อหลวงเล่าให้ฟังว่า ริมฝั่งห้วยแม่แต๊ะหลวงมีชุมชนตั้งอยู่ตามน้ำขึ้นไปถึง
๘ หมู่บ้าน แต่พวกเราลงมติกันอย่างพร้อมเพรียงว่าไปไกลกว่านี้ไม่ไหวแล้ว
จึงขอหยุดเพียงที่บ้านจอซีเดอแห่งนี้ ดินเนอร์ใต้แสงตะเกียงกับพ่อหลวงคืนนี้ก็เลยรู้ว่าชาวบ้านที่นี่ทำเกษตร
ปลูกข้าวนาบนที่ราบเล็กๆ ริมลำห้วย ปลูกข้าวไร่หมุนเวียนบนดอย และจับปลาในลำห้วย
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตามชาวบ้านไปไร่ แวะทักทายคณะแม่บ้านที่กำลังหาปลาโดยวิธีการ
มาออปัวะ คือใช้ใบไม้และหินกั้นส่วนเล็กๆ ของลำห้วยที่น้ำกำลังจะแห้งเพื่อจับปลา
มื้อก้า (คุณป้า) คนหนึ่งบอกว่ากั้นจับปลาแล้วก็ต้องเอาหินออกให้น้ำไหลตามเดิม
ไม่เช่นนั้นปีหน้าจะไม่มีปลากิน
เดินตามลำห้วยไปซักพักพะตี้พิชัยผู้นำทางของเราก็ชี้มือไปบนดอยชัน บอกว่าขึ้นไปทางนี้นะ
เราแหงนหน้ามองดอยสุดแสนจะชันจนไม่คิดว่าจะปีนได้ ต้องเกาะรากไม้ตะกายกันเหงื่อแตกด้วยความตื่นเต้น
มองลงไปข้างล่างจะเปลี่ยนใจลงก็คงยิ่งลำบาก พวกเราก็เลยฮึดปีนต่อ ไม่พอยังเอื้อมมือไปเด็ดยอดชะอมอ่อนที่เพิ่งแตกยอดและตำลึงแถวๆ
นั้นไปกินเป็นมื้อเที่ยงอีกเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว
ใกล้ถึงยอดดอยเราได้ยินเสียงเหมือนดนตรีดังแว่วมา ก๊อง ก๊อง ก๊อง... คือเสียงไม้ไผ่ลำยาวที่ชาวบ้านใช้เจาะหลุมบนดินเพื่อหยอดเมล็ดข้าว
ชาวบ้านกำลังช่วยกันหยอดข้าวกันเป็นกลุ่ม ผู้ชายใช้ไม้ไผ่เจาะหลุมเดินนำ
ส่วนผู้หญิงและเด็กๆ ก็เดินหยอดเมล็ดข้าวตามไป มีเสียงไม้ไผ่กระทุ้งดินคลอไปด้วย
เป็นการปลูกข้าวบันเทิงเสียจริง
มาถึงไร่แล้วชาวบ้านชวนเราทานข้าวด้วยกัน เป็นการให้กำลังใจแก่เจ้าของไร่
อาหารกลางวันบนไร่วันนี้ข้าวห่อใบตองตึงกับต้มปลาย่าง เราปฏิเสธเพราะเกรงใจ
แต่พอได้ลิ้มรสปลาก็ตื้นตันกับรสชาติแสนอร่อยและรอยยิ้มละไมจากชาวบ้าน เราก็เปิปข้าวกันพร้อมกับความหิวเฉียบพลัน
คิดแก้ตัวในใจว่าไหนๆ ชาวบ้านก็เรียกแล้ว เดี๋ยวจะเสียน้ำใจ
คุยกับชาวบ้านที่กระท่อมกลางไร่ ก็ได้รู้ว่าชาวบ้านที่นี่ปลูกข้าวกว่า ๓๐
ชนิด โดยแต่ละบ้านที่แยกครอบครัวออกมาใหม่จะเสี่ยงทายว่าเหมาะกับข้าวพันธุ์ใด
ก็ปลูกข้าวชนิดนั้นไปตลอด แต่ละบ้านจะมีข้าวที่ถูกโฉลกกับตนเองประมาณ ๓-๔
ก็ปลูกไปในไร่เดียวกัน ดังนั้นในชุมชนจึงปลูกข้าวหลากหลายชนิดพันธุ์ ทำให้ไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืชมารบกวน
เป็นการจัดการทรัพยากรที่ชาญฉลาด และทำให้พวกเราทึ่งกันไปตามๆ กัน
นอกจากข้าวแล้ว ในไร่ชาวบ้านยังมีพืชอื่นๆ ปลูกแซมไปด้วย เช่น งา ฟักทอง
มะเขือ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ พริก พืชบางชนิดที่ปลูกรวมกับข้าวได้ชาวบ้านก็เอาเมล็ดพันธุ์ผสมกับข้าวและปลูกผสมกันไปเลย
เห็นไร่ชันแบบนี้เราเดินตัวเปล่ายังแทบแย่ เลยถามชาวบ้านว่าเกี่ยวข้าวแล้วขนกลับกันยังไง
ชาวบ้านบอกว่าใช้ช้าง! ชาวบ้านบอกว่าที่หมู่บ้านนี้มีช้าง ๕ ตัว เลี้ยงไว้ขนข้าว
และผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ จากไร่กลับบ้าน บ้านที่ไม่มีช้างก็ขอแรงช้างจากเพื่อยบ้านได้
ผืนดินแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ ให้ผลผลิตงามจนชาวบ้านขนเองแทบไม่ไหว
นอกจากพืชที่ปลูกแล้ว พืชธรรมชาติที่ขึ้นริมฝั่งห้วยและในป่าแทบทุกชนิดล้วนเป็นประโยชน์แก่ชาวบ้าน
ทั้งเป็นอาหารคน อาหารสัตว์ ยาสมุนไพร และประโยชน์อื่นๆ เช่นย้อมสีผ้า ทำเชือก
พืชอาหารจากป่าที่นี่มีอย่างน้อย ๑๐๕ ชนิด มีทั้งเห็ด หน่อไม้ และผักนานาพันธุ์
ส่วนยาสมุนไพรในป่าที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์รวบรวมได้ถึงกว่า ๒๐๐ ชนิด มีตั้งแต่แก้ไข้ตัวร้อน
พกช้ำ ไปจนถึงแก้โรคกระเพาะ
ชาวบ้านบอกว่าสำหรับชุมชนริมห้วยแห่งนี้ เงินเป็นสิ่งที่แทบไม่มีความจำเป็น
เพราะทุกอย่างปลูกและหาได้เอง จะซื้อบ้างก็เช่น เกลือ เราชื่นชมปนทึ่งเมื่อชาวบ้านบอกว่าไม่มีบ้านไหนมีหนี้สินเลย
นับเป็นชุมชนพึ่งตนเองอย่างแท้จริง
กลับมาที่หมู่บ้านตอนเย็น เราไปเล่นกับเด็กๆ เพราะพอจะพูดภาษาไทยได้บ้าง
เด็กน้อยหลานพะตี้ข้างบ้านวัย ๒ ขวบกำลังเล่นตำข้าวอยู่ใกล้ๆ แม่ที่ตำข้าวอยู่จริงๆ
เจ้าตัวน้อยมีครกกระเดื่องตัวจิ๋วที่พ่อทำไว้ให้เล่น ดูสิ เด็กนิดเดียวก็ฝึกช่วยแม่ทำงานแล้ว
คืนก่อนกลับฝนตกหนัก น้ำในลำห้วยไหลเชี่ยวขึ้น พะตี้พิชัยจึงเอาสาเอาช้างมาขนของไปส่งปากห้วย
พวกเราจึงเดินกันตัวเปล่า ฝนที่ตกลงมาทำทำให้ป่าเขียวชอุ่มดูสดชื่น อากาศเย็นสบาย
ขากลับทางเดินริมห้วยจมหายไปเกือบหมด เราเดินข้ามน้ำกันด้วยความสนุกสนานและตื่นเต้น
มีเสียงหัวเราะดังเป็นระยะเมื่อมีใครสักคนเหยียบก้อนหินลื่นล้มลงน้ำ จนเด็กน้อยชาวกะเหรี่ยงเดินมาด้วยกับพวกเราถามด้วยความสงสัยว่า
ทำไมพวกพี่ล้มกันเก่งจัง สรุปว่ากว่าจะถึงปากห้วยที่สาละวินเราก็ลื่นล้มตัวเปียกกันครบทุกคน
ก่อนลงเรือล่องน้ำสาละวินกลับ เราล่ำลาชาวบ้านทุกคน ไม่ลืมกำชับพะตี้พิชัยว่า
มาคราวหน้า พะตี้อย่าลืมเอาช้างมารับด้วยนะคะ
นั่งเรือกลับ มองนกฝูงนกที่บินเรี่ยผิวน้ำแล้วพลางคิดว่า หนึ่งอาทิตย์ที่สาละวินแห่งนี้เหนื่อยเอาการทีเดียว
แต่สิ่งที่เราได้พบเห็นและเรียนรู้ คือความงดงามวิถีชีวิตผู้คนที่ผูกพันธรรมชาติอย่างเคารพ
ใช้ทรัพยากรอย่างพอเพียง เอื้อมมือแตะน้ำเย็นเฉียบที่กระเซ็นขึ้นมา แอบสัญญากับสาละวินว่า
ขอให้เจ้าไหลหล่อเลี้ยงนานาชีวิตที่นี่ตลอดไป แล้วเราจะกลับมาใหม่
|