แถลงการณ์
คุ้มครองพื้นที่สีเขียวที่ล่อแหลม
สร้างทางเลือกการจัดการน้ำที่ไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น
การพัฒนาประเทศสู่ทุนนิยมอุตสาหกรรมอย่างที่เห็นและเป็นอยู่
โดยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมนั้น ได้ก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตการด้านจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญในสังคมไทย อันมีรากเหง้ามาจากการรวมศูนย์อำนาจในการใช้และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งนำมาสู่ความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชุมชนคนท้องถิ่น หรือ ระหว่างกลุ่มทุนกับชุมชนถิ่น รวมทั้งนำสู่การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ยั่งยืน ไม่สมดุล และไม่มีความเป็นธรรมในสังคมไทย
พวกเราในนามองค์กรต่างๆ
จึงร่วมมือกัน ในการหาหนทางปกป้องคุ้มครองพื้นที่สีเขียวขึ้น อาทิ เช่น พื้นที่การก่อสร้างท่อก๊าซไทย- มาเลเซีย พื้นที่สร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอกหินกรูด พื้นที่เขื่อนปากมูล พื้นที่ป่าชุมชน และหลายพื้นที่ รวมทั้งพื้นที่ก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น
จากสถานการณ์น้ำท่วมกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศ ในช่วงที่ผ่าน กรมชลประทานได้ออกมาปลุกกระแสเร่งรัดผลักดันโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น
จังหวัดแพร่ อีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ การศึกษาของ องค์การอาหารและเกษตรกรรม
FAO. ได้มีข้อสรุปออกมาแล้วว่า เขื่อนแก่งเสือเต้น สามารถป้องกันน้ำท่วมได้เพียง
8 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
จากการศึกษาของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา ประเทศไทย (TDRI.)
ด้วยเหตุผลทาง เศรษฐศาสตร์ ได้ข้อสรุปว่า เขื่อนแก่งเสือเต้นไม่คุ้มทุน
จากการศึกษาของ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ด้วยเหตุผลทางนิเวศวิทยา ที่มีข้อสรุปว่าหากสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นจะกระทบต่อระบบนิเวศน์ของอุทยานแห่งชาติแม่ยมเป็นอย่างมาก
หากเก็บผืนป่าที่จะถูกน้ำท่วมไว้จะมีมูลค่าต่อระบบนิเวศน์ และชุมชนอย่างมาก
จากการศึกษาของ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลทางด้าน ป่าไม้ สัตว์ป่า ที่มีข้อสรุปว่า
พื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เป็นทั้งอุทยานแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่
อีกทั้งยังเป็นแหล่งป่าสักทองธรรมชาติ ผืนเดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้น ควรเก็บรักษาไว้
เพื่ออนาคตของประชาชนไทย และมวลมนุษยชาติ
จากการศึกษาของมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า
และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้วยเหตุผลในการจัดการน้ำ
ยังมีทางออก และทางเลือกอื่น ๆ อีกหลายวิธีการ ที่แก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น
ทั้งที่ แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำยม
มีหลายวิธีที่ไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เช่น
1.
การจัดการโดยใช้แนวทางทางภูมินิเวศวิทยา การจัดการน้ำแบบใหม่ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยมองภาพรวมการแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำทั้งระบบ
2. การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ การฟื้นฟูป่าไม้ การอนุรักษ์ป่า การปลูกป่าเสริม
การปกป้อง พิทักษ์ รักษา และการจัดการป่า โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม (การประกาศป่าชุมชน
ป่าอนุรักษ์ ปลูกป่า ฯลฯ) นับเป็นแนวทางหนึ่งที่จะฟื้นฟูเสถียรภาพของระบบนิเวศน์
ให้กลับคืนมาสู่สมดุล อย่างยั่งยืน
3.
การขุดลอกตะกอนแม่น้ำ อันจะสามารถฟื้นฟูแม่น้ำให้กลับมาทำหน้าที่แม่น้ำตามธรรมชาติได้
การทำทางเบี่ยงน้ำเพื่อระบายออกนอกเขตชุมชน การสร้างเครือข่ายทางน้ำเพื่อกระจายน้ำไปยังนอกเขตชุมชน
ฯลฯ
4.
การฟื้นฟูที่ราบลุ่มแม่น้ำยม สามารถทำได้โดย ขุดลอกคูคลองที่เชื่อมระหว่างแม่น้ำกับหนองบึง การยกถนนให้สูงขึ้น หรือเจาะถนนไม่ให้กีดขวางทางน้ำ การสร้างบ้านเรือนให้อย่างน้อยชั้นล่างสุดต้องสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุด
การแนะนำให้เกษตรกรการปลูกพืชอายุสั้น พันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่
การกำหนดให้เป็นเขตเสี่ยงภัยจากน้ำท่วม การหยุดยั้งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ขวางทางน้ำในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำยม
การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้เหมาะสม เช่น เป็นที่ท่องเที่ยว เป็นแหล่งประมง
เขตอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะสอดคล้องกับระบบนิเวศน์
ยังสามารถป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ทางตอนล่างลงมาตลอดจนถึงกรุงเทพฯ ได้ เนื่องจากที่ราบลุ่มแม่น้ำยมเป็นที่พักน้ำ
ที่สามารถพักน้ำไม่ให้ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมกันถึง 500-1,500 ล้านลูกบาศก์เมตร
(ซึ่งมากกว่าแก่งเสือเต้นเสียอีก)
5.
การจัดการทางด้านความต้องการ ในปัจจุบันลุ่มแม่น้ำยมมีระบบชลประทานขนาดใหญ่
และขนาดกลาง 24 แห่ง ระบบชลประทานขนาดเล็ก 220 แห่ง บ่อน้ำตื้น 240 บ่อ และระบบสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้าของกรมพัฒนา
และส่งเสริมพลังงาน 26 แห่ง รวมพื้นที่ชลประทาน 1,117,465 ไร่ ระบบชลประทานเหล่านี้ล้วนแต่มีประสิทธิภาพต่ำ
กล่าวคือ ประสิทธิภาพเฉลี่ยระบบชลประทานของกรมชลประทานมีเพียง 35% ส่วนระบบสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้ามีประสิทธิภาพเฉลี่ย
57% ขณะที่ประสิทธิภาพระบบชลประทานทั่วโลกเฉลี่ย 64% การจัดการด้วย DSM โดยการซ่อมบำรุงระบบชลประทานที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ
การสนับสนุนให้เกิดกลุ่มผู้ใช้น้ำ การให้ความรู้แก่ผู้ใช้น้ำจะสามารถทำให้เหลือน้ำจำนวนมาก
เฉพาะระบบของกรมชลประทานถ้าใช้ระบบ DSM จะเหลือน้ำถึง 101 ล้านลูกบาศก์เมตร
เทียบเท่ากับปริมาณในการอุปโภคบริโภคของคนในลุ่มแม่น้ำยมถึง 7.6 ล้านคน
6.
การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ในการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ่มแม่น้ำยมสามารถดำเนินการได้โดยการพัฒนาแหล่งน้ำขนาด
เล็กตามที่มีรายละเอียดในแผนการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ซึ่งจัดทำโดย กรมการปกครอง
กระทรวงมหาดไทยแผนดังกล่าวสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำได้โดยใช้งบประมาณเฉลี่ยแล้วหมู่บ้านละประมาณ
3 ล้านบาทเท่านั้น
7.
การพัฒนาระบบประปา การขาดแคลนน้ำในเมืองใหญ่ ๆ โดยเฉพาะในฤดูแล้งที่ความต้องการน้ำมีสูง
ไม่ได้เกิดจาก การขาดน้ำดิบเท่านั้น แต่เกิดจากระบบการผลิตน้ำประปาของการประปาภูมิภาคไม่เพียงพอ
ตัวอย่างเช่น เมืองสุโขทัยขาดแคลนน้ำประปาในฤดูแล้ง เพราะระบบการผลิตน้ำประปามีความสามารถในการผลิตน้ำประปาเพียง
60 % ของความต้องการน้ำประปาสูงสุดในฤดูแล้ง การขยายระบบการผลิตน้ำประปาจะสามารถช่วยในการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค
ในเมืองใหญ่ได้อย่างไรก็ตามการรณรงค์ให้มีการประหยัดน้ำในฤดูแล้งก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น
ดังนั้นเราจึงแถลงถึงสังคมไทย ให้ช่วยกันปกป้องคุ้มครองพื้นที่สีเขียว โดยการคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของสังคมไทย
ด้วยความเชื่อมั่น
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
, สมัชชานักวิชาการเพื่อคนจน , สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ , สมัชชาคนจน
กลุ่มเพื่อนประชาชน
, มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย
โครงการพื้นที่ทางสังคมและสื่อทางเลือก
, เครือข่ายแม่น้ำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
|