โครงการเขื่อนโป่งขุนเพชร
สมัชชาคนจน
ข้อมูลเบื้องต้น
1.วัตถุประสงค์โครงการ : เพื่อการเกษตร
2.ผู้รับผิดชอบโครงการ : กรมชลประทาน
3.ที่ตั้งหัวงาน : บ้านกระจวน หมู่ 4 ต.โคกสะอาด อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ
4.เนื้อที่ของชลประทาน : 12,300 ไร่ในท้องที่ ต.โคกสะอาด อ.หนองบัวระเหว และต.โป่งนก อ.เทพสถิต
จ.ชัยภูมิ
5.ปริมาณความจุน้ำ : 97 ล้านลูกบาศก์เมตร
6.พื้นที่ผิวน้ำ : 16.2 ตารางกิโลเมตร (10,215 ไร่)
7.จำนวนราษฏรที่ได้รับผลกระทบ : ประมาณ 500 ครอบครัว 5 หมู่บ้าน (บ้านกระจวน บ้านใหม่ห้วย หินฝน บ้านห้วยทับนาย บ้านบุงเวียน บ้านโคกชาด)
8.แผนผังโครงการการใช้น้ำจากเขื่อน : ไม่มี
9.แผนโครงการรองรับราษฏรผู้ได้รับผลกระทบ : ไม่มี
สภาพปัญหา
1. การดำเนินงานของทางราชการไม่โปร่งใส มีการปิดบังข้อมูล เช่น
หลักเกณฑ์ ระเบียบ หรือมติ ครม. ในการจ่าย ค่าทด แทน ถูกปกปิดและบิดเบือน แนวเขตน้ำท่วมหรือเขตชลประทานไม่แน่ชัด ขัดแย้งกับข้อมูลของ สปก.
ที่ดินนับพับไร่ที่ กรมชลบอกว่า อยู่นอก เขตชลปประทาน แต่ทางสปก.ไม่รังวัดให้
บอกว่าอยุ่ในเขตชลประทาน
2. กีดกันชาวบ้านผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่ให้มีส่วนร่วมรับรู้ในการดำเนินงาน
เช่น การรังวัดที่ดิน การนับต้นไม้ เจ้าหน้า ที่ทำเอง โดยพลการ เจ้าของที่ดินและพยานข้างเคียงไม่ได้นำชี้ มาทราบเรื่องตอนที่เจ้าหน้าที่เรียกไปเซ็นชื่อที่อำเภอ รวมทั้งการ
กำหนดค่าทด แทน ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยคิดค่าที่ดินไร่ละ 8000 บาท
3. กระทำการทุจริตผิดกฎหมาย และประพฤติมิชอบโดยเจ้าหน้าที่ เช่น
3.1 ข่มขู่หลอกลวงชาวบ้านว่าอยู่ในเขตป่าสงวน ทางการไม่มีค่าทดแทน
ใครไม่ยอมออกไปจะถูกดำเนิน คดีอาญา
3.2 ฉ้อโกงค่าทดแทนต้นไม้ และสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 25 ล้านบาท โดยการทำหลักฐานเท็จ ปลอมลายมือ ชื่อชาว บ้าน เรียกรับสินบน ขู่เข็ญกรรโชกให้ชาวบ้านกลัวแล้วบังคับเอาส่วนแบ่งจากค่าทดแทน
ฯลฯ
3.3 ตัดไม้ทำลายป่า โดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเอาไม้ไปขายเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว ดังกรณีที่ ชาวบ้าน ยึด เครื่องเลื่อยยนต์จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีการดำเนินคดีแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองเครื่องเลื่อย
3.4 ถนนเข้าหัวงานชำรุดตั้งแต่ก่อสร้างเสร็จยังไม่ทันถึงเดือน ส่อพิรุธว่าน่าจะมีการทุจริต
4. ไม่มีการคำนวณต้นทุนทางสังคม
5. กระทบต่อระบบนิเวศทั้งระบบและวิถีชุมชน
6. เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามอำเภอใจ ไม่มีมาตรการที่ชัดเจน เช่น
6.1 กรณีจ่ายค่าทดแทนที่ดิน (ค่าขนย้าย)
-โครงการเขื่อนลำคันฉู จ.ชัยภูมิ
กรมชลฯ จ่ายค่าที่ดินทุกตารางนิ้วโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าที่ดินจะมีเอกสาร
ใดๆ หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นที่รก ที่หิน หรือที่เตียน
-โครงการเขิ่อนห้วยทราย จ.ชัยภูมิ กรมชลฯ จ่ายค่าที่ดินเฉพาะที่ระบุไว้ใน
ภ.บ.ท. 5 เท่านั้น ที่เกินจากใบ ภ.บ.ท.5 ไม่ จ่ายให้ อีกทั้งราคาที่ดินก็ไม่เท่ากันแม้จะอยู่ในอ่างเดียวกัน
คือราคา 10,000 บาท/ไร่ สำหรับที่ดินที่อยู่ในอ่างที่อยู่ ในเขต อ.บำเหน็จ
ณรงค์ 6,000 บาท/ไร่ สำหรับที่ดินเขต
อ.จตุรัส แต่เขื่อนลำคันฉูและเขื่อนโป่งขุนเพชรจ่ายให้ในอัตราเดียว
กันแม้ว่าจะอยู่คนละอำเภอ กล่าวคือ เขื่อนลำคันฉูน้ำจะท่วมในเขต อ.เทพสถิต
และอ.บำเหน็จณรงค์ เขื่อนโป่งขุนเพชรน้ำจะ ท่วม อ.เทพสถิตและอ. หนองบัวระเหว
กรมชลฯ จ่ายในอัตรา 8,000 บาทเท่ากันหมด
-ฝายราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ไม่มีค่าตอบแทนใดๆเลย แม้ว่าที่ดินจะมีโฉนดหรือ
น.ส.3 ก็ตาม
-เขื่อนโป่งขุนเพชร รังวัดให้เฉพาะที่เตียนโล่งเท่านั้น
ส่วนที่รกไม่รังวัดให้ ยกเว้นบางรายที่เป็นที่รกก็รังวัดให้ ไม่ทราบว่า เพราะ
เหตุใด เจ้าหน้าที่และนายอำเภอท้องที่ไม่ยอมชี้แจง
6.2 กรณีค่าทดแทน ต้นไม้และสิ่งปลูกสร้าง
-เขื่อนลำคันฉู กรมชลฯจ่ายให้เฉพาะต้นไม้ที่เพาะปลูกขึ้นเท่านั้น
ต้นไม้ที่เกิดตามธรรมชาติไม่คิดให้ สำหรับสิ่งปลูก สร้างคิด ให้ เฉพาะบ้านเรือนที่อยู่อาศัยแบบเหมาจ่ายที่ถูกมาก
ไม่ได้คำนวณตามบัญชีการจ่ายค่าทดแทนของกรมชลฯ
-เขื่อนห้วยทราย กรมชลฯไม่จ่ายค่าสิ่งปลูกสร้างใด
ๆ เลย
-เขื่อนโป่งขุนเพชรแบ่งเป็น 2 กรณี
1. มีการตรวจนับไม้ที่เกิดตามธรรมชาติให้ด้วย เช่นต้นไผ่ ต้นลาน มะขามป้อม
หว้า รวมทั้งรังวัดบ้านเรือน สิ่งปลูก สร้างทุกชนิด เช่น คอกปศุสัตว์ โรงนา
รั้วบ้าน แต่นับให้ไม่ครบ
2. ส่วนหนึ่งมีการเหมาจ่าย โดยไม่มีการตรวจนับหรือรังวัดแต่อย่างใด
-เขื่อนป่าสัก จ.ลพบุรี กรมชลฯ ประกาศจะจ่ายค่าทดแทนให้แก่สิ่งปลูกสร้างทุกชนิดรวมทั้งต้นไม้ที่ใช้ประโยชน์ได้ทุก
ชนิด ตาม บัญชีและให้ชาวบ้านเลือกจะเอาค่าทดแทนตามบัญชีจ่ายค่าทดแทนของกรมชลฯหรือของหน่วยงานอื่นก็ได้ที่ชาวบ้านได้ประโยชน์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ชลประทานได้แนะนำให้ผู้มีอิทธิพลปลูกสะเดา เมื่อกลางปี
2537 หลังจากปักเขตชลประทานชัดเจน
แล้ว ซึ่งเฉพาะราย นี้รายเดียวใน
ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี กรมชลฯจะต้องจ่ายเป็นค่าทดแทนเฉพาะต้นสะเดาเป็น
เงินประมาณ 25 ล้านบาท
6.3 เปรียบเทียบราคาที่ดินเขื่อนต่างๆ น่าสงสัยว่ากำหนดจากอะไร ?
-เขื่อนลำคันฉู จ.ชัยภูมิ
8000 บาท/ไร่ โดยจ่ายให้เท่ากันหมดทั้ง 2 อำเภอ
-เขื่อนห้วยทราย จ.ชัยภูมิ เขตน้ำท่วม อ.บำเหน็จณรงค์ 10000 บาท/ไร่ เขตอำเภอจตุรัส 6,000 บาท / ไร่ มิหนำซ้ำชาวบ้าน ยังถูกโกงไปอีก 2,100 บาท / ไร่
ขณะนี้ยังไม่ได้รับเต็มอัตราทั้งที่เขื่อนได้สร้างเสร็จแล้ว
-เขื่อนโป่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ 8,000 บาท / ไร่ เท่ากันทั้ง 2 อำเภอ แต่วัดที่ดินให้ไม่เต็มพื้นที่ ที่ถูกน้ำท่วม
-เขื่อนลำปะทาว จ.ชัยภูมิ ไม่จ่ายค่าที่ดินให้เลย
-เขื่อนราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ไม่จ่ายค่าที่ดินเลย แม้ว่าจะมีโฉนด หรือ
น.ส.3 ก็ตาม
-เขื่อนคลองนางน้อย จ. ตรัง 125,000 บาท/ไร่
-เขื่อนปากมูล จ.อุบลราชธานี 35,000บาท/ไร่ เท่ากันทั้ง 3 อำเภอ
-เขื่อนห้วยขอนแก่น จ.เพชรบูรณ์ 25,000 บาท/ไร่ เฉพาะที่มี
น.ส.3 และ 20,000 บาท/ไร่ เฉพาะที่ดินไม่มีเอก สารสิทธ์
6.4 คำสัญญาจากกรมชลฯ ต่อราษฏรผู้ได้รับผลกระทบ
-เขื่อนป่าสัก จ.ลพบุรี อธิบดีกรมชลประทาน
( นายรุ่งเรือง จุลชาติ ) รับรองต่อที่ประชุมชาวบ้านจังหวัดลพบุรีว่า
กรมชลฯ จะให้ชาวบ้านมีสภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
-เขื่อนโป่งขุนเพชร อธิบดีไม่เคยให้คำสัญญาอย่างเขื่อนป่าสัก ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด
แต่เราถือว่าเป็นคนไทยเหมือน กันต้อง ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคเช่นเดียวกับเขื่อนป่าสัก
-เขื่อนอื่นๆ นอกจากจะไม่มีคำมั่นสัญญาแล้วยังถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามยถากรรม
ผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชุมชน
1.ไม่มีการทำรายงานประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)
2.ทำลายป่าต้นน้ำห้วยลำเชียงทา อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำชี
3.ทำลายอาชีพหลักของชาวบ้าน อำเภอเทพสถิต อำเภอหนองบัวระเหว และอำเภอใกล้เคียงในการหาของป่า
เช่น หน่อไม้ ใบลาน ผักหวาน กะบุก และสมุนไพรต่างๆ เป็นต้น
4.ทำลายระบบเกษตรกรรมธรรมชาติ ซึ่งไม่ต้องใช้ปุ๋ย และไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีใดๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็น แหล่งสุดท้าย ของภาคอีสานที่ยังสามารถผลิตพืชผักปลอดสารเคมี
5.ทำลายวิถีชีวิต ชุมชน และวัฒนธรรมท้องถิ่น
ผลได้-ผลเสีย
คุ้มค่าหรือไม่ ?
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
(อนาคต) |
ผลที่เสียไป
(ปัจจุบัน) |
1.
พื้นที่เพาะปลูกในหน้าฝน 100,000 ไร่ หน้าแล้ง 25,000ไร่
2.
รายได้จากการขายผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก ขยายพื้นที่การ เกษตร มูลค่ายังประ เมินไม่ได้
(ไม่แน่ว่าจะขาดทุนหรือไม่)
3.
แหล่งจับปลา
4.
แหล่งน้ำอุปโภคบริโภค
5.
แหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้าน
6.
บรรเทาอุทกภัยด้านท้ายน้ำ(ชั่วคราว) |
1.
พื้นที่เกษตรธรรมชาติ หรือวนเกษตร 12,300 ไร่
2.
รายได้จากการเกษตรธรรมชาติและการหาของป่า มูลค่าประมาณ 60 ล้านบาท/ปี
3.
แหล่งอาหารที่เป็นสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง ปลา อึ่ง ฯลฯ
4.
สภาพแวดล้อมและระบบนิเวศน์เสียไป
5.
อุทกภัยหน้าเขื่อนตลอดไป
6.
ครอบครัวแตกสลายทำลายวิถีชีวิตและสังคมชนบท
7.
งบประมาณแผ่นดินสูญเปล่าเพราะการทุจริต คอร์รัปชั่น เป็น จำนวนกว่า 50%
8.
ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ผลตามที่กรมชลกล่าวอ้าง
9.
ไม่มีแผนรองรับ,แผนเยียวยาชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ
10.
ต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรม
|
|