ลอกคราบเขื่อนปากมูล:
"ความจริง 9 ประการที่ไม่ถูกเปิดเผย"
ข่าวสดฉบับวันที่
18 พค.2543
เครือข่ายแม่น้ำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ตลอดทศวรรษของความขัดแย้งกรณีเขื่อนปากมูล ภาพของเขื่อนปากมูลถูกผูกขาดการอธิบายโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
แห่งประเทศไทย(กฟผ.)มาโดยตลอด โดยเฉพาะจากการที่ กฟผ.ใช้ยุทธการประชาสัมพันธ์เชิงรุกด้วยการทุ่มเงินซื้อหน้า
โฆษณา เพื่อสร้างภาพด้านเดียวของเขื่อนปากมูลจนกระทั่งความจริงของเขื่อนปากมูลบิดเบี้ยวไป
โชคดีของสังคมไทยที่ใน ปี 2540 ธนาคารโลกซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนทุนให้กับการสร้างเขื่อนใหญ่ทั่วโลกรวมทั้งเขื่อนปากมูล
ด้วยได้ตกลงกับองค์กร พัฒนา เอกชนตั้งคณะกรรมการเขื่อนโลก(WCD)เพื่อเป็นคณะกรรมการอิสระเพื่อประเมินเขื่อนทั่วโลก
และคณะกรรมการ เขื่อนโลกก็ได้เลือกเขื่อนปากมูลเป็น 1 ใน 10 เขื่อนจากทั่วโลกเพื่อเป็นเขื่อนหลักในการประเมินทุกแง่มุม
บทความนี้เรียบเรียงจากผลสรุปการศึกษากรณีเขื่อนปากมูลของคณะกรรมการเขื่อนโลก(WCD)
ซึ่งศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ ด้าน ต่าง ๆ โดยที่กระบวนการศึกษานี้ กฟผ. และธนาคารโลกได้เข้าร่วมในฐานะของผู้มีส่วนได้เสียเช่นเดียวกับชาวบ้าน
นักวิชาการ และนักพัฒนาเอกชน รายงานนี้จึงเป็นรายงานที่ให้ภาพความเป็นกลางและเป็นจริงของเขื่อนปากมูลได้ดีที่สุด
ในขณะนี้
ประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการเขื่อนโลกศึกษาพบสามารถสรุปได้มีดังนี้
1.ต้นทุนโครงการ
ผลการศึกษาพบว่า
ต้นทุนที่ได้ประเมินไว้ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการตัดสินใจสร้างเขื่อนปากมูลและก่อนที่ธนาคารโลกจะ
อนุมัติเงินกู้คือ 135 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งรวมเอา 11 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ
สำหรับการลดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวด ล้อม ด้วย ต้นทุนการก่อสร้างที่แท้จริงได้เพิ่มขึ้นเป็น
233 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งรวมเอา 32 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ สำหรับ การลดผลกระทบเข้าไปด้วย
ต้นทุนที่แสดงทั้งหมดในปี 2537 ได้สมมติให้เพิ่มขึ้น 2 % ต่อปี ขณะที่ดอกเบี้ยระหว่างการ
ก่อสร้างก็ ไม่ได้ถูกรวมเอาไว้ด้วย นั่นหมายความว่า ต้นทุนการก่อสร้างเขื่อนปากมูลได้เพิ่มขึ้นมากกว่า
70% โดยที่ยังไม่รวมดอกเบี้ย ระหว่างการก่อสร้าง
2.การผลิตพลังงานไฟฟ้า
ผลการศึกษาพบว่า
โรงไฟฟ้าขนาด 136 เมกะวัตต์ของเขื่อนปากมูลได้ออกแบบให้เป็นโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องในช่วงที่มีความ
ต้องการสูงสุด(peaking plant) (หมายถึงโรงไฟฟ้าที่ใช้สำหรับเดินเครื่องช่วง
4 ชั่วโมงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุดคือ ระหว่าง 18.00-22.00 น.) โดยใช้น้ำที่กักเก็บในอ่างสำหรับการเดินเครื่องในแต่ละวัน
แต่ในความเป็นจริง ในฤดูฝนเขื่อน ปากมูลไม่สามารถเดินเครื่องได้ตลอดทั้ง
4 ชั่วโมงของช่วงที่มีความต้องการกระแสไฟฟ้าสูงสุดและต้องผลิตไฟฟ้าในช่วง
เวลาปกติเป็นประจำ
ผลการศึกษาได้ชี้ว่า
ในบางช่วงเขื่อนปากมูลไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เลยเพราะ "เมื่อระดับน้ำในแม่น้ำโขง
สูงขึ้นมากๆ โรงไฟฟ้าก็ต้องหยุดเดินเครื่อง เนื่องจากระดับน้ำเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อนไม่แตกต่างกันจน
ไม่สามารถปล่อยน้ำหมุน กังหันได้"
"ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตเนื่องจากความต้องการกระแสไฟฟ้าของระบบสูงสุดและปริมาณน้ำใน
เขื่อนมีความเหมาะสม ปรากฏว่าเขื่อนปากมูลผลิตกระแสไฟฟ้าได้ไม่เกิน 5 จิกะวัตต์/ชั่วโมง
หากให้กระแสไฟฟ้าที่ผลิต ได้นี้เกิดขึ้นสม่ำเสมอตลอด 4 ชั่วโมงซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความต้องการกระแสไฟฟ้าสูงสุด(18.00-22.00
น.)และเทียบ กระแส ไฟฟ้าที่ได้นี้เป็นกำลังผลิตติดตั้งก็จะเท่ากับว่าเขื่อนปากมูลมีการเดินเครื่องประมาณ
40 เมกกะวัตต์เท่านั้น แน่นอนว่าเขื่อน ปากมูลอาจจะมีการเดินเครื่องมากกว่า
40 เมกกะวัตต์ได้ แต่ช่วงเวลาที่จะเดินเครื่องได้ก็จะสั้นลงไม่ถึง 4 ชั่วโมง
กำลังผลิต 40 เมกกะวัตต์นี้เองที่ กฟผ.ได้อ้างว่าสามารถชดเชยกับการที่ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซขนาด
150 เมกะวัตต์ ซึ่งค่าเปรียบเทียบนี้ก็ได้รับการอนุญาตให้ใช้จากธนาคารโลก
ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่ามีการคาดการณ์ผลได้ไว้สูงเกิน จริงมาก"
ผลการศึกษายังชี้อีกว่า
รายงานโครงการล่าสุดของ กฟผ. ที่ระบุว่า ไฟฟ้าที่ผลิตได้ในช่วงชั่วโมงปกติ(22.00
น-18.00 น.) สามารถทดแทนโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ
2 ใน 3 ของกำลังการผลิตติดตั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด เพราะโรง ไฟฟ้าสำรองสำหรับชั่วโมงปกติคือโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้น้ำมันและลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิงเนื่องจากราคาเชื้อเพลิง
ถูกกว่าน้ำมันมาก
นั่นหมายความว่า
ยิ่งเดินเครื่องเขื่อนปากมูลเพื่อผลิตไฟฟ้ามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งขาดทุนมากขึ้นเท่านั้น
ในประเด็นนี้
ผลการศึกษาสรุปอย่างฟันธงว่า "ถ้าหากผลประโยชน์ที่แท้จริงนี้ถูกนำไปใช้ในการวิเคราะห์ทาง
เศรษฐศาสตร์ เขื่อนปากมูลอาจจะไม่ถูกสร้างขึ้นมาก็ได้"
3.ผลประโยชน์ด้านชลประทาน
ผลการศึกษาชี้ว่า
ชื่อของเขื่อนปากมูลที่เรียกว่าโครงการเอนกประสงค์นั้นเป็นการชี้นำที่ผิด
เอกสารโครงการของ กฟผ.ได้ อ้างว่ามีพื้นที่ที่มีศักยภาพการชลประทาน 160,000
ไร่ โดยรายงานการศึกษาล่าสุดของ กฟผ.ได้อ้างว่าผลประโยชน์จาก การชลประทานของเขื่อนคิดเป็น
3 % แต่ในความเป็นจริงผลประโยชน์นี้มีค่าเท่ากับศูนย์ แม้แต่รายงานการประเมินของ
เจ้าหน้าที่ของธนาคารโลกในปี 2534 ก็ไม่นับรวมผลประโยชน์ด้านชลประทานนี้เข้าวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ด้วย
4.ผลประโยชน์ด้านการประมง
ผลประโยชน์ด้านการประมงของเขื่อนปากมูลถูกวางไว้คิดเป็น
7% ของผลประโยชน์โครงการทั้งหมด อ่างเก็บน้ำ 60 ตารางกิโลเมตรถูกคาดหวังว่าจะให้ผลผลิตปลา
100 กิโลกรัม/แฮคแตร์(6.25 ไร่)/ปี ถ้าหากไม่มีการปล่อยพันธุ์ปลาลงไป และถ้าหากมีโครงการปล่อยพันธุ์ปลาจะให้ผลผลิตปลาเป็น
220 กิโลกรัม/แฮคแตร์/ปี แต่ผลการศึกษาของคณะกรรม การเขื่อนโลกพบว่า ผลผลิตปลาที่ได้จริง
ๆ มีเพียง 10 กิโลกรัม/แฮคแตร์เท่านั้น นั่นหมายความว่า ผลประโยชน์ด้าน ประมงต่ำกว่าที่คาดไว้ถึง
22 เท่า
ยิ่งไปกว่านั้น
การศึกษายังพบว่า "การจับปลาที่ได้จริงจากอ่างของเขื่อนปากมูลและบริเวณตอนปลายของอ่างน้อยกว่าช่วง
ก่อนการสร้างเขื่อน 60% และ 80% ตามลำดับ"
5.การอพยพชาวบ้าน
กฟผ.คาดไว้ว่าเขื่อนและอ่างเก็บน้ำจะส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน
31 หมู่บ้าน จะได้รับผลกระทบโดยตรง 241 ครอบครัวใน 11 หมู่บ้าน แต่การศึกษาของคณะกรรมการเขื่อนโลกพบว่า
ในความเป็นจริงมีชาวบ้านถึง 1,700 ครอบครัวที่สูญเสียบ้าน ที่ดิน หรือ ทั้งสองอย่าง
ชาวบ้านเหล่านี้ยังได้เรียกร้องค่าชดเชยอันเนื่องมาจากการสูญเสียรายได้จากการประมงซึ่งไม่มีการ
คาดการณ์ถึงผลกระทบของเขื่อนในเรื่องนี้มาก่อน
6.ผลกระทบต่อการลดลงของพันธุ์ปลา
การศึกษาพบว่า
หลังจากการสร้างเขื่อน ความอุดมสมบูรณ์ของปลาและผลผลิตปลาลดลงอย่างน่าตกใจ
รายได้ในครอบ ครัวชาวประมงลดลง ชาวประมงต้องเปลี่ยนอาชีพ รูปแบบการประมงปลี่ยนไป
ค่าใช้จ่ายด้านอาหารของชาวบ้านเพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ
และการเมืองตามมา
"เขื่อนปากมูลส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์น้ำและความอุดมสมบูรณ์ของประชากรปลาทั้งเหนือ
เขื่อนและใต้เขื่อน อ่างเก็บน้ำของเขื่อนปากมูลท่วมและทำลายแหล่งวางไข่ที่สำคัญของปลา
ได้แก่ แก่งต่าง ๆ ปัจจุบัน เป็นที่ชัดเจนว่าบันไดปลาโจนไม่ได้ช่วยให้ปลาอพยพตามฤดูกาลจากแม่น้ำโขงเข้าสู่ลุ่มน้ำชี/มูลได้
เขื่อนปากมูลที่มี กำลังการผลิตติดตั้งเพียง 136 เมกกะวัตต์ได้ปิดตายระบบลุ่มน้ำที่มีขนาดถึง
117,000 ตารางกิโลเมตร"
"ถ้าหากปลาจะสามารถเดินทางผ่านเขื่อนไปได้ก็ในช่วงน้ำหลากเดือนสิงหาคมและกันยายนเนื่องจากบางครั้งได้มีการยก
บานประตูเขื่อนขึ้น ขณะที่ในความเป็นจริงช่วงที่ปลาอพยพสูงสุดคือต้นฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม"
การศึกษายังระบุอีกว่า
"จากพันธุ์ปลาในแม่น้ำมูลที่มีการบันทึกไว้ในปี 2537 จำนวน 265 ชนิดนั้น
มีพันธุ์ปลา 77 ชนิดที่ เป็นปลาอพยพ ยิ่งไปกว่านั้นพันธุ์ปลา 35 ชนิดเป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามแก่ง
แต่ตอนนี้แก่งต่าง ๆ ได้จมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำ เขื่อนปากมูล การสำรวจล่าสุดหลังการสร้างเขื่อนพบว่าเหนือเขื่อนมีปลาเพียง
96 ชนิด เป็นที่ชัดเจนว่ามีพันธุ์ปลาถึง 169 ชนิดที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล
และมีพันธุ์ปลาถึง 56 ชนิดที่ไม่ปรากฏว่าจับได้อีกเลยภายหลังการสร้างเขื่อน"
ขณะเดียวกันก็ได้ชี้ว่า
การปล่อยพันธุ์ปลาและกุ้งก้ามกรามของกรมประมงที่ กฟผ.หยิบมาโฆษณามาโดยตลอดว่าสำเร็จ
นั้นล้มเหลว โดยผลการศึกษาระบุว่า "โครงการปากมูลได้จัดตั้งหน่วยอนุรักษ์และพัฒนาประมง
ได้มีการปล่อยพันธุ์ปลาลง สม่ำเสมอรวมทั้งกุ้งก้ามกราม แต่กุ้งก้ามกรามวางไข่ในน้ำเค็มหลังจากนั้นก็อพยพมายังเขตน้ำจืด
ดังนั้นกุ้งก้ามกรามจึง ไม่สามารถขยายพันธุ์ในอ่างเก็บน้ำได้และจำเป็นที่จะต้องปล่อยกุ้งสม่ำเสมอ
ผลผลิตกุ้งในแต่ละปีระหว่างปี 2538-2541 อยู่ในช่วง 6-15 ตัน แต่ผลผลิตนี้รวมถึงกุ้งอื่นๆ
ที่เติบโตตามธรรมชาติด้วย"
ผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นผลกระทบที่ตามมาว่าแรกสุด
มีชาวบ้าน 241 ครอบครัวที่ถูกจัดว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการ สร้างเขื่อนและต้องจ่ายค่าชดเชย
ผลกระทบของเขื่อนต่อการประมงได้เกิดขึ้นเต็มที่เมื่อเขื่อนสร้างใกล้เสร็จ
รัฐบาลได้ตั้ง คณะกรรมการขึ้นมาหลายชุดเพื่อหาจำนวนชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียรายได้จากการประมง
ผลสำรวจ ของคณะกรรมการทำให้ ในปี 2538 กฟผ.ต้องจ่ายค่าชดเชย 90,000 บาทต่อครอบครัวให้แก่ชาวประมง
3,955 ครอบครัว และในเดือนมีนาคม 2543 ได้มีการอนุมัติให้จ่ายค่าชดเชยเพิ่มให้ชาวประมงอีกกลุ่มหนึ่งจำนวน
2,200 ครอบครัว(คือกลุ่ม กำนันผู้ใหญ่บ้านที่ กฟผ.สนับสนุน) ครอบครัวละ 60,000
บาท ทุกวันนี้ชาวบ้านจำนวนมากที่อยู่เหนือเขื่อนก็ยังคงรอรับ ค่าชดเชยอาชีพประมง
ต้นทุนที่ไม่คาดคิดของโครงการได้รวมถึงค่าชดเชยการสูญเสียอาชีพประมง(จนถึงเดือนมีนาคม
ได้จ่ายไปแล้ว 488.5 ล้านบาท) ต้นทุนนี้ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายในโครงการปล่อยพันธุ์ปลาและพันธุ์กุ้งด้วย
"รัฐบาลได้ยอมจ่ายค่าชดเชย
60,000-90,000 บาท ต่อครอบครัวซึ่งเป็นค่าชดเชยการสูญเสียรายได้จากการประมงในช่วง
3 ปีระหว่างการสร้างเขื่อน การแก้ปัญหาล่าสุดสำหรับการสูญเสียรายได้จากการประมงในระยะยาวเกิดจากผลของการเจรจา
กันในปี 2538 วันที่ 25 มกราคม 2540 ชาวบ้านปากมูลได้ร่วมชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลา
99 วัน เรียกร้องให้ รัฐบาลจ่ายค่าชดเชยที่เป็นธรรมสำหรับการสูญเสียวิถีชีวิตชาวประมงอย่างถาวร
ต่อมา ข้อตกลงที่ว่าจะมีการจ่ายค่าชดเชย ซึ่งได้สัญญาไว้ในเดือนเมษายนปีเดียวกันก็ถูกยกเลิกหลังจากมีการเปลี่ยนรัฐบาลในปี
2541 ในเดือนมีนาคม 2542 ชาวบ้านประมาณ 5,000 ครอบครัวได้ยึดหัวงานเขื่อนปากมูลอย่างถาวรประท้วงให้มีการจ่ายค่าชดเชยจากรัฐบาลและ
ธนาคารโลกซึ่งไม่ยอมรับว่ามีการสูญเสียอาชีพประมงอย่างถาวร"
7.ความเสื่อมโทรมของแก่งธรรมชาติ
ผลการศึกษาพบว่า
การสร้างเขื่อนปากมูลทำให้แก่งธรรมชาติกว่า 50 แก่งจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำอย่างถาวร
แก่งเหล่านี้เป็นที่รู้ กันว่าเป็นถิ่นอาศัยของปลากว่า 20 ชนิด เพราะไม่มีฐานข้อมูลก่อนการสร้างเขื่อนที่เพียงพอจึงไม่สามารถระบุมูลค่าทาง
เศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตามการลดลงของประชากรปลาก็มีสาเหตุมาจากการสูญเสียแก่งเหล่านี้
การสูญเสียแก่งธรรมชาติยัง ได้ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบก็คือ การสูญเสียถิ่นที่อยู่ของพันธุ์สัตว์น้ำ
การเกิดตะกอนทับถมแก่ง และการเกิดวัชพืช ตามแก่ง การสูญเสียความงดงามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแก่งธรรมชาติต่างๆ
ความเสื่อมโทรมของคุณค่าทางสุนทรียภาพ สำหรับการท่องเที่ยว และการสูญเสียกิจกรรมทางสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมทางวัฒนธรรมซึ่งใช้แก่งธรรมชาติต่าง
ๆ เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรม
8.การสูญเสียพืชผักริมน้ำ
ป่าธรรมชาติและป่าชุมชน
ผลการศึกษาพบว่า
อย่างน้อยที่สุดมีพืชอาหาร 40 ชนิด ไผ่ 10 ชนิด และเห็ด 50 ชนิดที่ชาวบ้านหามาสำหรับการบริโภค
ในครัวเรือนโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แม้รายได้นี้จะเล็กน้อยแต่ก็เป็นรายได้ประจำวันที่มีความยั่งยืน
นอกจากนั้นยังพบ พันธุ์พืชสมุนไพรมากกว่า 100 ชนิดตามบริเวณใกล้กับแม่น้ำมูล
"การสูญเสียพืชเหล่านี้จากการที่ถูกน้ำท่วมนั่นหมายถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
และการสูญเสียความ มั่นคงทางด้านอาหารและอนามัยของชาวบ้านท้องถิ่น"
ผลการศึกษาระบุ
9.เขื่อนปากมูล
ใครได้-ใครเสีย?
ผลการศึกษาระบุว่า
ประสบการณ์อย่างต่อเนื่องของชาวประมงคือการจับปลาได้น้อยลงนับตั้งแต่สร้างเขื่อนเสร็จ
ขณะที่ รัฐบาลไทยถูกโจมตีจากผลกระทบด้านลบของเขื่อนต่อวิถีชีวิตชาวประมงที่เกิดขึ้นจริงและได้หาวิธีการต่าง
ๆ ในการชดเชย
"การชดเชยที่เป็นเงินนั้น
สำหรับชาวบ้านแล้ว รายได้แต่ละปีจากการประมงทั้งหมดในระยะยาวคิดเป็นเงินที่มากกว่าการ
จ่ายค่าชดเชยในรูปเงินสดและหุ้นสหกรณ์ที่ชาวบ้านแต่ละครอบครัวได้รับจำนวน
90,000 บาท ขณะที่รัฐบาลไทยต้องแบก รับภาระจากการเรียกร้องค่าชดเชยอย่างต่อเนื่องจากการสูญเสียวิถีชีวิตชาวประมง"
การไฟฟ้าอาจสร้างภาพให้ชาวบ้านปากมูลว่าเป็นคนที่
"เรียกร้องไม่สิ้นสุด" "ได้คืบจะเอาศอก" "ได้รับค่าชดเชยอย่างเหลือ
เฟือ" แต่ผลการศึกษาของคณะกรรมการเขื่อนโลกกลับชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์ของโครงการเขื่อนปากมูลไม่ได้เป็นประวัติ
ศาสตร์ของการต่อสู้เพื่อให้มีการจ่ายค่าชดเชยที่เป็นธรรมจากการที่ชาวบ้านต้องถูกอพยพและสูญเสียรายได้จากการประมง
แต่การต่อสู้ของชาวบ้านปากมูลก็เพื่อปกป้องวิถีชีวิต สภาพแวดล้อม และเพื่อการมีส่วนร่วมตัดสินใจในโครงการที่เข้ามา
กระทบต่อชีวิตของพวกเขา การต่อสู้นี้ไม่ใช่แค่ระหว่างชาวปากมูลกับ กฟผ. เท่านั้น
แต่ยังเป็นการต่อสู้กันระหว่างชาว บ้านที่ได้รับผลกระทบกับหน่วยงานรัฐ รวมถึง
กฟผ.ซึ่งได้กล่าวไปแล้วและธนาคารโลกซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้
"การที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบมีทัศนะที่ลบนั้นไม่ได้เป็นเพราะต้องการการจ่ายค่าชดเชยอย่างเหลือเฟือและให้ฐานะดีขึ้น
ตรงกันข้าม ปฏิกิริยานี้ก็เนื่องมาจากการที่ชาวบ้านถูกบังคับให้ไปอยู่ที่จุดของการไร้ซึ่งอำนาจซึ่งเสียงของพวกเขาไม่เป็นที่
ได้ยิน พวกเขาถูกปิดกั้นโอกาสที่จะแสดงทัศนะเกี่ยวกับโครงการเขื่อนปากมูล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏว่ามีทัศนะที่ หลากหลายเกี่ยวกับข้อดีและผลกระทบด้านลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมต่าง
ๆ ที่เกิดจากโครงการ พวกเขาถูกกีดกันออก จากการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
รวมไปถึงการระบุว่าใครบ้างที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบ
สิ่งที่ มีการกล่าวกันว่ามีการจ่ายค่าชดเชยอย่างเหลือเฟือนั้นคือผลของการเรียกร้อง
ประท้วง เดินขบวน และการเผชิญหน้า นั่นเอง"
ผลการศึกษาของคณะกรรมการเขื่อนโลกดังที่กล่าวมานี้แม้ว่าไม่ได้ผูกพันธ์กับรัฐบาลไทย
แต่อย่างน้อยที่สุดการ ศึกษานี้ก็ได้ทำให้สังคมไทยมองเห็นภาพความจริงของเขื่อนปากมูลชัดมากขึ้น
หากสังคมไทยยอมรับความจริงและเป็นสังคมที่มีเหตุผลแล้ว
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทางออกที่ดีที่สุดในกรณีเขื่อน ปากมูลก็คือ การยกเลิกการใช้เขื่อน(decommissioning)
โดยการหยุดการผลิตไฟฟ้าเพื่อมิให้ขาดทุนไปกว่านี้ และยกบานประตูเขื่อนเพื่อให้ปลาเดินทางจากแม่น้ำโขงขึ้นมาวางไข่และให้ชาวบ้านในลุ่มน้ำชี/มูล
117,000 ตารางกิโลเมตร จับปลาดำรงชีวิตและเป็นรายได้ทางเศรษฐกิจของชุมชน
แก่งธรรมชาติต่าง ๆ 50 แก่งที่จมอยู่ ใต้อ่างเก็บน้ำเขื่อนปากมูลก็จะโผล่ขึ้นมาสามารถฟื้นฟูให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาตินำรายได้เข้าท้องถิ่น
ภาคอีสาน และเข้าประเทศต่อไป |