งานวิจัยชาวปากมูน:
เมืองหลวงปลา คืนชีวิต หลังเปิดเขื่อน 2 เดือน
ไชยณรงค์
เศรษฐเชื้อ
เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ประเทศไทย
หากย้อนอดีตกลับไปเมื่อสิบปีก่อนที่จะมีเขื่อนปากมูล ปากมูน หรือแม่น้ำมูนบริเวณปากมูนนับแต่กิ่ง อ.สว่างวีระวงศ์ ลงมาจนถึงปากมูนที่แม่น้ำมูนบรรจบกับแม่น้ำโขง
เป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติไม่เหมือนที่อื่นๆ นั่นก็คือ มีระบบนิเวศน์ที่สลับซับซ้อน
ทั้ง แก่ง คัน ขุม วัง เวิน ถ้ำหิน ป่าบุ่งป่าทาม และดอน
หรือเกาะกลางน้ำรวมทั้งแม่น้ำสาขาต่างๆ
ระบบนิเวศน์ที่สลับซับซ้อนนี้เมื่อรวมกับการ ที่ปากมูนคือเขตรอยต่อระหว่างแม่น้ำมูนและแม่น้ำโขง
จึงทำให้ปากมูนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ปลา ที่มีทั้งปลาที่อพยพมาจากแม่น้ำโขง
ปลาประจำถิ่น และปลาชนิดที่อาศัย หากิน และวางไข่เฉพาะบริเวณแก่ง ความอุดมสมบูรณ์นี้จะเห็นได้จากชาวปากมูนเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่า
เมืองหลวงของปลา หรือไม่ก็ จังหวัดของปลา และปลานี่เองที่ทำให้เกิดชุมชนชาวประมงปากมูนที่มีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับปลา
ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ปลาแลกข้าว ข้าวแลกปลา หรือ วันเนา เป็นต้น แต่ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ปากมูนได้สิ้นสุดลง
เมื่อระบบธรรมชาติดังกล่าวจมอยู่ใต้น้ำของภายหลังการสร้างเขื่อนปากมูล พร้อมๆ
กับการปิดกั้นการเส้นทางการอพยพของปลาระหว่างแม่น้ำมูนและโขงที่นำไปสู่การล่มสลายของชุมชนประมงปากมูน
อย่างไรก็ตาม แม่น้ำมูนก็ได้ฟื้นคืนชีวิตอีกครั้งภายหลังจากที่
กฟผ.เปิดประตูเขื่อนปากมูลสุดบานเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน หรือ เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา
สิ่งหนึ่งที่เป็นหลักฐานของการฟื้นชีวิตนี้คืองานวิจัยเรื่องปลาของชาวปากมูน
ซึ่งรายงานด้านปลานี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานที่ถูกจัดทำขึ้น โดยคณะนักวิจัยชาวบ้านปากมูน
65 หมู่บ้านที่ได้มีการเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา
รายงานของชาวปากมูน ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปนี้ นับว่าเป็นรายงานการศึกษาครั้งแรกๆ
ในประวัติศาสตร์เพราะเป็นงานวิจัยที่ถูกจัดทำขึ้นโดยนักวิจัยชาวบ้านโดยใช้ความรู้แบบ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นแทนที่จะถูกจัดทำโดยนักวิชาการที่ใช้ความรู้แบบวิทยาศาสตร์
การวิจัยนี้ไม่เพียงแต่เป็นการรวบรวมชนิดพันธุ์ปลาภายหลังการเปิดประตูเขื่อนปากมูลที่เป็นตัวชี้ว่าแม่น้ำมูนได้ฟื้นคืนชีวิตเท่านั้น
แต่ยังเป็นการรื้อฟื้นองค์ความรู้ของชาวปากมูนกลับคืนมา
การวิจัยของชาวปากมูนแบ่งออกเป็น
3 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนแรกเป็นการรวบรวมชนิดพันธุ์ปลาที่ชาวบ้านจับได้
ดำเนินการโดยชาวปากมูนที่ทำการประมง 65 หมู่บ้าน ที่ตั้งชุมชนสองฝั่งแม่น้ำมูน
เริ่มแต่บ้านฮองอ้อ เขตกิ่งอำเภอสว่างวีระวงศ์ลงมาจนถึงบริเวณที่แม่น้ำมูนบรรจบกับแม่น้ำโขง
โดยวิธีการบันทึกชนิดปลาที่ถูกจับได้ด้วยการถ่ายรูปและใช้ข้อมูลเสริมจากแบบบันทึกประจำวันของพี่น้องใน
65 หมู่บ้าน
ขั้นตอนที่สอง เป็นการจำแนกปลาแต่ละชนิด
ดำเนินการโดย พรานปลา 18 คน ที่ชาวปากมูนได้เลือกขึ้นมา พรานปลาทั้ง 18
คนถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลาเนื่องจากประสบการณ์การทำประมงในลุ่มน้ำมูนโดยเฉลี่ยมากกว่า
50 ปีขึ้นไป พรานปลาทั้งหมดจะใช้กระบวนการประชุมกลุ่มเพื่อจำแนกพันธุ์ปลาแต่ละชนิด
จากนั้นจะเป็นการร่วมกันอธิบายพฤฒิกรรมของปลาแต่ละชนิดนับแต่รูปแบบการเดินทางของปลา
ที่อาศัยและแหล่งหากิน อาหาร และแหล่งวางไข่ การอธิบายนี้จะดำเนินการเฉพาะปลาธรรมชาติในระบบลุ่มน้ำมูนที่ชาวบ้านจับได้
โดยตัดปลาต่างถิ่นหรือปลาที่มีการปล่อยออกไป
สำหรับขั้นตอนของการบันทึกและเรียบเรียงข้อมูล
จะมีผู้ช่วยนักวิจัยคือเยาวชนชาวปากมูนและเจ้าหน้าที่เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นผู้ช่วย
เรียบเรียงข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานและร่วมกันชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญที่พบ
ข้อมูลดังต่อไปนี้ เป็นข้อมูลเฉพาะช่วง
2 เดือนของการเปิดประตูเขื่อนปากมูลนับแต่วันที่ 16 มิถุนายน ถึงวันที่ 17
สิงหาคม การศึกษาพบประเด็นสำคัญดังนี้
ประการแรก ตลอดช่วง 2 เดือนของการเปิดประตูเขื่อน
การสำรวจของชาวปากมูนพบพันธุ์ปลาทั้งหมด 119 ชนิด ในจำนวนนี้เป็นปลาต่างถิ่นและปลาที่เพาะเลี้ยง
4 ชนิด ที่เหลืออีก 115 ชนิดเป็นพันธุ์ปลาธรรมชาติของแม่น้ำมูนและแม่น้ำโขง
พันธุ์ปลาธรรมชาติ 115 ชนิดนี้ถือว่าเป็นจำนวนชนิดพันธุ์ปลาที่น้อยที่สุด
เพราะชาวปากมูนจับปลาโดยใช้เครื่องมือประมงพื้นบ้าน ซึ่งทำให้ไม่ได้ปลาขนาดเล็กมากๆ
หรือปลาที่ไม่ได้เป็นอาหาร ซึ่งหากใช้วิธีการอื่นในการเก็บตัวอย่างพันธุ์ปลาเช่นเดียวกับวิธีการของนักประมง
เช่น ใช้อวนล้อมหรือสารพิษก็จะพบพันธุ์ปลามากกว่านี้
สำหรับชาวปากมูนแล้ว ปีนี้เป็นปีแรกในรอบสิบปีที่มีพันธุ์ปลาที่หลากหลาย
หลังจากที่ไม่เคยพบมาก่อนภายหลังการสร้างเขื่อนปากมูล
ประการที่สอง ความรู้ของชาวปากมูนได้ชี้ให้เห็นว่าปลาธรรมชาติที่พบที่ปากมูนมี
2 ประเภท คือ ปลาที่อพยพจากโขง กับ ปลาอยู่มูน หรือปลาที่อพยพเป็นระยะทางสั้น
ในจำนวนปลาธรรมชาติ 115 ชนิดที่พบว่าเป็นปลาอพยพจากแม่น้ำโขง 99 ชนิด และปลาอยู่มูน
18 ชนิด
ข้อมูลดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญก็คือ
ปลาที่กลับคืนสู่มูนเป็นปลาอพยพจากโขงมากกว่าปลามูน นั่นก็เพราะว่าปลาส่วนใหญ่ในแม่น้ำมูลและโขงเป็นปลาชนิดเดียวกันและเป็นปลาอพยพ
การที่แม่น้ำโขงยังคงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ปลา เมื่อเปิดประตูเขื่อนปากมูล
จึงมีปลาอพยพจากแม่น้ำโขงเข้าแม่น้ำมูนทันที
สำหรับ ปลาอยู่มูน หรือปลาเฉพาะถิ่นหรืออพยพเป็นระยะสั้นที่พบว่ามีน้อยนั้น
สาเหตุก็เพราะระบบนิเวศน์บริเวณนี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการสร้างเขื่อนปากมูล
เนื่องจากน้ำได้ท่วมแก่ง และมีตะกอนเข้าอุดรูแก่ง ทับถมเวิน วัง ถ้ำหิน ขุมน้ำ
และคันน้ำ ที่เรียกว่า อ้น แม่น้ำมูนจากแต่เดิมที่ไหลและฟอกน้ำเติมออกซิเจนก็กลายเป็นอ่างเก็บน้ำที่นิ่ง
เกิดปัญหาน้ำเสีย การระบาดของผักตบชวาและ แม่ปลา ที่คอยกินเลือดปลา ทำให้ปลาเหล่านี้หายไปจากบริเวณปากมูนนับสิบปี
ดังนั้นเมื่อเปิดเขื่อนปากมูล ปลาอยู่มูนจึงกลับฟื้นคืนมาช้ามากเพราะแทบไม่มีพ่อแม่พันธุ์
ประการที่สาม ในจำนวนพันธุ์ปลาธรรมชาติทั้งหมด
115 ชนิดที่ชาวบ้านจับได้ เป็นปลาหายากและใกล้สูญพันธุ์ 8 ชนิด คือ ปลาในบัญชีแดงของสหพันธุ์เพื่อการอนุรักษ์สากลเป็นปลาในบัญชีรายชื่อปลาใกล้สูญพันธุ์ของสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมด้วย
4 ชนิดคือ ปลาบึก ปลาตองลาย ปลาเจ็ก และปลาเลิม อีก 4 ชนิดเป็นปลาในบัญชีหายากของสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
คือ ปลาสะอี ปลาน้ำเงิน ปลาปีกไก่ และปลาหมากผาง
การสำรวจของชาวปากมูน ยังพบว่าปลาบางชนิดพบเพียงแค่ตัวเดียวในช่วง
2 เดือน คือ ปลาคูน ปลาหว่าหน้านอ
ที่สำคัญอีกประการก็คือในจำนวนปลาธรรมชาติที่พบนั้น
มีปลาอยู่ 3 ชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ คือ พบปลา 2 ชนิดที่อาศัย หากินและวางไข่เฉพาะแก่ง-วัง
ซึ่งเป็นระบบนิเวศน์เฉพาะบริเวณปากมูน นั่นก็คือ ปลาบู่หิน และปลาแข่หิน อีกทั้งยังพบ ปลาเอี่ยนหู หรือ ตูหนาหูขาว 2 ตัว บริเวณปากมูนและบริเวณบ้านแสนตอ ปลาตูหนาหูขาวนี้ เป็นปลาที่วางไข่ในท้องทะเลลึกประมาณ
1 กิโลเมตร แถบบริเวณระหว่างฟิลิปปินส์และเวียตนาม และชาวปากมูนระบุว่า พบในแม่น้ำมูนเป็นครั้งแรก
ดังนั้นปลาทั้ง 5 ชนิดนี้จึงถือว่าเป็นปลาที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ด้วย
การพบปลาหายากและใกล้สูญพันธุ์และปลาเฉพาะแก่ง-วังดังกล่าวได้ชี้ว่า
การเปิดประตูเขื่อนปากมูลเป็นการเปิดโอกาสให้ปลาหายากและใกล้สูญพันธุ์ได้สืบทอดเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็น
ประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์ปลาด้วย
แก่งบริเวณปากมูน: เมืองหลวงของปลาและมรดกของคนอีสาน
ผลการวิจัยของชาวปากมูนยังชี้ให้เห็นว่า
การเปิดประตูเขื่อนปากมูลครั้งนี้ช้าเกินไปเพราะเริ่มเปิดเขื่อนในช่วงปลายเดือน
6 ตามการนับแบบพื้นบ้าน ขณะที่ปลาเริ่มอพยพจากแม่น้ำโขงตั้งแต่เดือน 3 ตามการนับแบบพื้นบ้าน
ดังนั้นปลาที่อพยพเข้ามาส่วนใหญ่จึงเป็นปลาที่อพยพในช่วงเดือน 6 และ เดือน
7 แม้ว่าการสำรวจของชาวปากมูนพบปลาบางชนิดที่ปกติแล้วจะเดินทางเข้าสู่แม่น้ำมูนตั้งแต่เดือน
3 หลงเข้ามาด้วย แต่หากว่ามีการเปิดประตูเขื่อนเร็วกว่านี้ ชนิดพันธุ์ปลาที่จะฟื้นคืนสู่แม่น้ำมูนก็จะมากกว่านี้อย่างแน่นอน
ความรู้เรื่องปลาของชาวปากมูนได้บอกว่า
ปลาเหล่านี้ เมื่อเดินทางเข้าปากมูนแล้ว ทุกชนิดต้องอาศัยหรือหากินหรือวางไข่บริเวณปากมูน
เนื่องจากบริเวณนี้มีระบบนิเวศน์สลับซับซ้อนมีทั้งแก่ง เวิน วัง ถ้ำหิน ขุมน้ำ
คันน้ำหรือแก่งที่จมอยู่ใต้น้ำ มีลำแม่น้ำสาขาน้อยใหญ่ที่ไหลลงมูน และระบบนิเวศน์แบบป่าบุ่งป่าทามและพื้นที่น้ำท่วมถึง
โดยเฉพาะแก่งที่เห็นอย่างชัดเจนจากในจำนวนปลาทั้งหมด 115 ชนิดที่สำรวจพบ
เป็นปลาที่อาศัย หากิน และวางไข่บริเวณแก่งถึง 46 ชนิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแก่งมีความสำคัญต่อวงจรชีวิตของปลาในแม่น้ำมูนและโขง
นอกจากนั้น ปลาอีกส่วนหนึ่งยังอพยพผ่านขึ้นไปยังตอนบนของแม่น้ำมูนและแม่น้ำสาขา
เช่น แม่น้ำมูนตอนบนแถบราษีไศล แม่น้ำชี และแม่น้ำสาขาอื่นๆ
ปลาอพยพเหล่านี้เมื่อวางไข่บริเวณปากมูนและทางต้นน้ำแล้ว
ทั้งหมดจะอพยพกลับแม่น้ำโขง แต่การอพยพแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบบค้างวัง ซึ่งมีจำนวนถึง
82 ชนิด และที่ไม่ค้างวัง 15 ชนิด
ความรู้ดังกล่าวนี้ได้ชี้ว่า บริเวณปากมูนไม่เพียงแต่เป็นแหล่งอาศัย
หากิน และวางไข่ในช่วงปลาอพยพเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อการอนุบาลลูกปลา
และยังเป็นแหล่งพ่อแม่พันธุ์ของปลาด้วย
บริเวณปากมูนจึงเปรียบเสมือน ชุมทางปลา
และ เมืองหลวงของปลา ในระบบแม่น้ำมูนและแม่น้ำโขง ดังนั้นการเปิดประตูเขื่อนปากมูลจึงไม่เพียงแต่เป็นการฟื้นฟูธรรมชาติบริเวณปากมูนเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงระบบนิเวศน์แม่น้ำมูล-แม่น้ำโขงอย่างแท้จริง
องค์ความรู้ของชาวปากมูนยังชี้ให้เห็นอีกว่า
หาก กฟผ.ปิดประตูเขื่อนปากมูลในเร็วๆ นี้ ก็จะทำให้ระบบนิเวศน์แม่น้ำมูน-โขง
ถูกตัดขาดอีกครั้ง และจะส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของปลาอย่างรุนแรง เนื่องจากการปิดประตูเขื่อนจะทำให้ปลาไม่สามารถอพยพกลับแม่น้ำโขงได้โดยเฉพาะลูกปลา
ซึ่งเป็นวงจรที่ทำให้ปลาสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์และหวนกลับคืนสู่ปากมูนและระบบของแม่น้ำมูนและแม่น้ำสาขา
กลายเป็นแหล่ง โปรตีน ราคาถูกสำหรับคนอีสานนับล้านคนในปีต่อไป
หากพิจารณาความหลากหลายของพันธุ์ปลาที่กลับมาหลังเปิดเขื่อนปากมูนเปรียบ
เทียบกับผลประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้าที่ได้จากเขื่อนปากมูน เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ไฟฟ้าที่ผลิตได้แค่ 20 เมกกะวัตต์ซึ่งแค่ป้อนห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ แค่ 2 แห่งก็หมดแล้วนั้น
ไม่สามารถเทียบได้เลยกับคุณค่าความหลากหลายของพันธุ์ปลาที่กลับมา นั่นก็เพราะว่า
เงินตราไม่ว่ากี่แสนล้านบาทก็ ไม่สามารถสร้างพันธุ์ปลาธรรมชาติที่หลากหลายและเมืองหลวงของปลาที่ปากมูนได้
ทั้งนี้ ยังไม่ได้พิจารณาว่าการกลับมาของปลาเหล่านี้ได้เปิดโอกาสให้คนอีสานนับสิบล้านคนได้เข้า
ถึงทรัพยากรอีกครั้งหลังจากถูกแย่งชิงไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
|