ชนชั้นกลาง กับ๑ปีแม่มูนมั่นยืน
ขณะที่กำลังมีการชุมนุมของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล บริเวณลานจอดรถโรงไฟฟ้าของเขื่อนดังกล่าว ในนามของ 'หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ๗' อยู่นี้ โดยการชุมนุมดังกล่าว เป็นการชุมนุมภายใต้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการชุมนุมที่มาจากการลง
มติเห็นชอบของผู้เข้าร่วมงานครบรอบหนึ่งปีแห่งการก่อตั้งหมู่บ้าน'แม่มูนมั่นยืน' ที่ เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ ๒๐ และ ๒๑เมษายน
๒๕๔๓ นี่เอง
ผมขออนุญาตให้ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืนสักเล็กน้อยนะครับ แม่มูนมั่นยืนเป็นหมู่บ้านประท้วง ซึ่งประกาศก่อตั้งขึ้นเมื่อ
วันที่ ๒๓ มีนาคม๒๕๔๒ โดยการรวมตัวของของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐ ๘ กรณีปัญหา ได้แก่
กรณีเขื่อนปากมูล จ.อุบลราชธานี
กรณีเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี
กรณีเขื่อนห้วยละห้า จ.อุบลราชธานี
กรณีเขื่อนลำคันฉู จ.ชัยภูมิ
กรณีเขื่อนโป่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ
กรณีปัญหาโครงการพัฒนาด่านช่องเม็ก-บ้านเหล่าอินทร์แปลง จ.อุบลราชธานี และกรณีป่าสงวนและอุทยานทับที่ทำกิน และที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน จ.อุบลราชธานี
โดยชาวบ้านประมาณ ๖,๐๐๐ คน ได้ปลูกกระต๊อบ เพื่อปักหลักชุมนุมโดยสงบบริเวณริมสันเขื่อนปากมูล อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ซึ่งจะว่าไปก็คือที่ดินผืนเดิมของชาวบ้านหลาย ๆ ครอบครัว
ก่อนการยึดครองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคำว่า มูน เป็น
ภาษาอีสาน แปลว่า มรดก (ผมค่อนข้างเชื่อว่า แม่น้ำมูลในความหมายของชาวบ้านคือ แม่น้ำมูน หรือ สายน้ำมรดกแต่ถูกบิดเบือนโดย
อาจไม่ตั้งใจของเจ้าหน้าที่ผู้เขียนชื่อแม่น้ำมูลในครั้งแรกๆ )
ในแผ่นพับประกาศเจตนารมย์ของการก่อตั้งหมู่บ้านระบุว่า‘เพื่อทำการรณรงค์ชี้แจงปัญหาผลกระทบต่อวิถีชีวิต ชุมชน วัฒนธรรม
เผยแพร่สู่สาธารณชนให้ได้รับรู้ในแง่มุมที่ถูกรัฐบาลปกปิดบิดเบือนในกรณีการดำเนินโครงการพัฒนาต่างๆ ทั้งที่ขณะดำเนินการ
และภายหลังการดำเนินการ…'
หนึ่งปีผ่านไป ท่ามกลางดินฟ้าอากาศที่แล้งร้าย เนื่องจากระบบนิเวศถูกทำลายและความเหน็ดเหนื่อยในการออกรณรงค์อย่างต่อ
เนื่องทั้งในรูปแบบของการร่วมลงแขกเกี่ยวข้าวกับชาวบ้านใกล้ไกลตลอดจนการเข้าไปรณรงค์เต็มรูปแบบในตัวจังหวัด หรือแม้แต่
เมืองหลวงในบางโอกาสผลของพยายามหนึ่งปีที่ค่อนข้างชัดเจนก็คือ ชาวบ้านได้ชุมนุมโดยสงบสมใจไร้วี่แววการเหลียวแลจากภาค
รัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หรือแม้แต่ประชาชนด้วยกันเอง ผมไม่แน่ใจว่า มีคนไทยถึง ๑๐%หรือไม่ที่รู้ว่ามีหมู่บ้านประท้วงชื่อแม่มูนมั่นยืนอยู่ในประเทศไทย
เราอาจจะจำกันได้ราง ๆ กับภาพข่าวการเดินขบวนของคนจนบนท้องถนนหลายครั้งหลายหนหรือที่ใหญ่หน่อยในการประชุมอังค์ถัด
เมื่อเร็ว ๆ นี้และที่ขึ้นหน้าหนึ่งอยู่ในขณะนี้แต่คงไม่เกินเลยถ้าหากผมจะพูดว่าเราจำได้เพียงเท่านั้นผมไม่ได้จะบอกว่าเราลืมง่ายหรือ
อะไรแต่กำลังสงสัยว่าเพราะเราไม่เคยสนใจพวกเขา…
พูดถึงปัญหาการสร้างเขื่อน เมื่อเร็ว ๆ นี้สหรัฐอเมริกาต้นแบบอันงามพร้อมในหลาย ๆ ด้านของรัฐบาลไทยได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อ
ทำวิจัยและสรุป ข้อดีข้อเสียของเขื่อนเก่าแก่เขื่อนหนึ่ง ที่รัฐเมน ชื่อ เอ็ดเวิร์ด(Edward dam)และได้มีข้อสรุปออกมาแล้วว่า ตัดสินใจ
ทุบเขื่อนดังกล่าวทิ้งเสีย>เนื่องจากไม่คุ้มค่ากับการสูญพันธุ์ของปลา และธรรมชาติอื่น ๆ
ขณะที่รัฐบาลไทยยังคงตั้งหน้าตั้งตากู้เงินต่างชาติมาลงทุนสร้างเขื่อนเพิ่มเติมตามนโยบายที่ลอกฝรั่งมาเมื่อหลายปีสิบก่อนโดยไม่ยอม
ลืมหูลืมตาดูอะไรทั้งสิ้น ทั้งที่มีบทเรียนท่วมหัวทั้งที่สังเวยด้วยชีวิตคน และสรรพสิ่งในลำน้ำซึ่งล่าสุดเห็นจะเป็นจรเข้ขนาดใหญ่
ที่เพิ่งลอยเป็นศพขึ้นมาหลังการปิดประตูเขื่อนกั้นแม่น้ำบางปะกงเมื่อเร็ว ๆนี้
มิหนำยังเห็นดีเห็นงามกับนโยบายการสร้างเขื่อนของประเทศลาวโดยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(ADB)เนื่องจาก
รวมหัวกันสำรวจแล้วพบว่าประเทศลาวมีแม่น้ำขนาดใหญ่มากมายแผนการพัฒนาจึงสรุปออกมาแล้วว่าในประมาณ ๑๐ ปีข้างหน้า
ลาวจะสร้างเขื่อนอีก๓๐เขื่อน เพื่ออุตสาหกรรมส่งออกกระแสไฟฟ้าโดยฝันหวานว่าจะเป็น'คูเวตแห่งเอเชีย'ตามที่ADBบอก
ในขณะที่วันนี้ประชาชนลาวผู้ถูกบังคับให้เสียสละเพื่อเขื่อนน้ำงึมยังไม่ได้รับการเหลียวแลใด ๆ จากรัฐบาลลาวนอกจากการใช้กำลัง
เข้าปิดปากชาวบ้านที่บังอาจให้ข้อมูลแก่นักข่าว NGOหรือแม้แต่นักท่องเที่ยว
เท่าที่คุยกับเพื่อนNGOฝรั่งที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งเธอได้มีโอกาสคลุกคลีกับธนาคารโลก(WB)ในช่วงหลังทำให้รู้ว่าตอนนี้
ธนาคารโลกเองก็กำลังปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่โดยให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนมากขึ้นจึงได้พยายามหันมาผูกมิตรโดยขอคำ
ปรึกษากับบรรดาNGO โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน
เพราะกรณีต่าง ๆ ที่ผ่านมาเสียงประณามนั้นหนาหูจนเริ่มทนไม่ได้ต้องปรับตัว
สร้างภาพพจน์กันใหม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาผลกระทบอะไรต่ออะไรมากขึ้น ซึ่งก็ยังดีที่คิดจะกลับตัวไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ADB
หรือแม้แต่รัฐบาลอันเป็นที่รักยิ่งของเราจะรู้สึกอย่างนี้บ้าง
ผมไม่อาจโทษ IMF WB WTO ADB หรือองค์กรเหนือรัฐทั้งปวง
ว่าเป็นผู้ผิดแต่ฝ่ายเดียว แม้ว่าในหลาย ๆครั้งจะรู้สึกเจ็บปวดกับความ
เห็นแก่ตัวของยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเหล่านี้และความเห็นแก่ได้ของรัฐบาลไทย
เพราะผู้ที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ก็คือเราชนชั้นกลางผู้ทรนงว่าเป็นพลเมืองต่างวรรณะผู้ที่ดูเหมือนจะมีโอกาสและพลังต่อ
รองในสังคมมากกว่าแต่แทบจะไม่เคยให้ความสนใจกับชนชั้นรากหญ้าผู้อุ้มชูปากท้องของเราและรากฐานเศรษฐกิจของประเทศ
พลเมืองวรรณะผู้เสียสละที่ชักเริ่มขบถยิ่งกว่านั้นยังออกท่ารำคาญกับการออกมาร้องแรกแหกกระเชอเดินขบวนป่าวร้องของพวก
เขาด้วยซ้ำว่าทำให้รถติด วุ่นวาย แต่พอเขาปักหลักชุมนุมอย่างสงบอยู่ที่สันเขื่อนมาปีกว่าเราก็ไม่เคยให้ความสนใจอยู่ดี
เราสามารถปล่อยให้องค์กรสารพัดทั้งไทยเทศยำเยงชาวบ้านตามอำเภอใจแต่กับปัญหาของเรา เช่น หุ้นตก น้ำมันแพง ของแพง
ว่างงาน รถติด ฯลฯ
พวกเราเองก็พากันออกมาโวยวายร้องแรกแหกกระเชออยู่บ่อย ๆแถมวันดีคืนดีก็วิ่งเข้าหาชนชั้นล่างเหล่านั้นเพื่อ
ขอแรงขอเสียงสนับสนุนดูไปดูมาท่าเดินชักจะเหมือนนักการเมืองเข้าทุกที
‘ไม่มีความยากจน ในหมู่คนที่ขยัน'
เมื่อพยายามเปิดปัญหาของผลกระทบจากการพัฒนาที่มีต่อวิถีชีวิตคนในพื้นที่หลายคนมักอ้างถึงคาถาที่ปลุกเสกขึ้นมาโดยท่านผู้นำ
รัฐบาลสมัยหนึ่ง
และสร้างความชอบธรรมแก่ชนชั้นปกครองมาหลายยุคหลายสมัยในการที่จะดำเนินนโยบายรุกรานประชาชนใน
นามของการพัฒนาขณะเดียวกันก็ได้เข้าครอบงำสิงสู่ในจิตใจพลเมืองร่วมชาติมาตลอด จนพบในหลาย ๆครั้งว่า เราต่างหลอกตัวเอง
ด้วยมายาคติอันฉ้อฉลนี้ และหมิ่นหยามไยไพต่อคนจนแทนที่จะเหลียวแลช่วยเหลือ โดยเราต่างก็ลืมไปว่า หากถูกตัดทางทำมาหากิน
ตัดโอกาสที่จะขยันเสียแล้ว ไม่ว่าใครมันก็มีสิทธิ์จนทั้งนั้น
เมื่อพูดถึงปัญหาที่ทำทำกินและวิถีชีวิตของชาวบ้านกรณีเขื่อนหลายคนพูดถึงความจำเป็นของไฟฟ้าและการเจริญเติบโตของภาค
อุตสาหกรรมภายในประเทศที่ต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้ายังไงเขื่อนมันก็จำเป็นว่างั้นเถอะ
ในหนังสือสิทธิชุมชน ซึ่งเขียนโดยอาจารย์ชัยพันธุ์ ประภาสะวัตจากสถาบันเพื่อสิทธิชุมชน ระบุว่าขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง
ประเทศไทย(กฟผ.)สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึงวันละ ๑,๘๐๐เมกกะวัตต์ โดยอัตราการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศไทย ตกวันละ ๑,๓๐๐ เมกกะ
วัตต์
เท่ากับเรามีไฟฟ้าเหลือวันละ ๕๐๐ เมกกะวัตต์
แต่เขื่อนปากมูลสามารถผลิตไฟฟ้าได้แค่ประมาณวันละ ๕๐ เมกกะวัตต์
พูดง่าย ๆ ก็คือ การยกเลิก-เปิดประตูระระบายน้ำ หรือแม้กระทั่งทุบเขื่อนปากมูล
พร้อม ๆ กับเขื่อนอื่นที่มีขนาดและศักยภาพเท่า ๆ กัน
อีก ๙ เขื่อนทิ้งเสียก็หาได้กระทบกระเทือนต่อภาคอุตสาหกรรมหรือความสะดวกสบายของผู้ใดไม่
จริง ๆ แล้ว ผมไม่อยากจะพูดถึงปริมาณไฟฟ้าเนื่องจากมันเทียบกันไม่ได้กับชีวิตของผู้คน และธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่เคยดำรงอยู่และ
เกื้อกูลพวกเขารวมทั้งเลี้ยงดูอุ้มชูพวกเราคนเมืองมาก่อนไฟฟ้านานนักหนาแม่น้ำมูลเป็นแม่น้ำที่มีขนาดเล็กกว่าแม่น้ำโขง แต่มีปลามาก
กว่าแม่น้ำโขง
เพราะทุกปีปลาในแม่น้ำโขงได้เข้ามาอาศัยแม่น้ำมูลเป็นที่วางไข่ และเติบโต
ตามป่าบุ่งป่าทาม(ป่าชายเลนน้ำจืด) เนื่อง
จากผืนดินไม่เหมาะต่อการเพาะปลูกธรรมชาติจึงได้ชดเชยให้แม่น้ำมูลเป็นแม่น้ำที่อุดมไปด้วยปลาและสัตว์น้ำนานาชนิด จนพูดได้ว่า
เป็นแหล่งปลาที่ใหญ่ที่สุดในอีสาน
ตลอดเวลาหลายชั่วอายุคน ชุมชนริมน้ำแห่งนี้จึงดำรงชีพด้วยปลาในสายน้ำแทบทุกครอบครัวมีอาชีพประมงเป็นอาชีพหลัก
การสร้างเขื่อนปากมูลและเขื่อนอื่น ๆ ปิดกั้นลำน้ำมูลระเบิดเกาะแก่งขนาดใหญ่จำนวนมาก ตัดไม้ และกักน้ำท่วมทับป่าบุ่งป่าทาม
นอกจากจะเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปลาจำนวนมหาศาลทำลายระบบนิเวศน์อย่างโง่เขลาจนไม่น่าให้อภัยแล้ว ยังทำลายวิถีชีวิตของ
ชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน อันรวมถึงภูมิปัญญา ทักษะที่ผ่านการบ่มเพาะ พัฒนา และถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคนที่ไม่ว่าจะจ่ายเงิน
เท่าไหร่ก็ไม่อาจชดเชยได้
ผมถึงได้สะใจที่รู้ว่าเมื่อสองเดือนแล้วตัวแทนธนาคารโลกลงทุนเดินทางเข้าไปยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าชดเชยแล้วถูกชาว
บ้านปฏิเสธหน้าหงายออกมา วันนี้พวกเขาต้องการเพียงให้'เอาเขื่อนออกไป!'
การเปลี่ยนอาชีพและวิถีของชุมชนไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนนักการเมืองย้ายพรรคเปลี่ยนขั้วคนบางคนเกิดมาเพื่อจะเป็นบางสิ่งจริงอยู่
ในหลายครั้งของชีวิตคนเราจำเป็นต้องปรับตัวแต่ถ้าหากถามว่าชาวบ้านเหล่านี้พวกเขามีความผิดอะไร เราต่างก็รู้เท่า ๆ กันว่า
สายน้ำและธรรมชาติเกื้อกูลคงอยู่กับชีวิตพวกเขามานับพันปีจนปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นของพวกเขาโดยชอบธรรม
ก่อนที่จะพูดถึงการเสียสละอันสวยหรูใด ๆ ก่อนที่จะถามถึงการปรับตัวการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตว่าเป็นไปได้หรือไม่ เราควรจะถามตัว
เองก่อนว่ามีความจำเป็นขนาดไหนที่จะต้องไปปล้นชิงเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพวกเขาคอขาดบาดตายเพียงใดที่จะต้องตัดทางเลือก
ของคนที่มีทางเลือกน้อยอยู่แล้วให้น้อยลงไปอีกเพื่อเขื่อนที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอต่อความต้องการของห้างสรรพสินค้าขนาด
ใหญ่เพียงไม่กี่ห้างเรามีเหตุผลอะไรกันนักหนาที่จะบังคับให้พวกเขาเสียสละ
ไหนจะธรรมชาติที่ถูกการพัฒนาทำลายแทบจะเรียกได้ว่าย่อยยับ
ที่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ชั่วอายุคนจึงสามารถกอบกู้ให้ฟื้นคืนสภาพ
เดิมได้ธรรมชาติที่เป็นสมบัติร่วมกันของมวลมนุษยชาติ
รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ในมาตรา๔และให้สิทธิคนท้องถิ่นในการที่จะจัดการ ดูแล พิทักษ์ปกป้อง
ทรัพยากร ภูมิปัญญาและสรรพสิ่งบนผืนดินของพวกเขาในมาตรา ๔๖ แต่ในความเป็นจริง หลาย ๆ ครั้งพบว่าขณะที่เราขานรับรัฐ
ธรรมนูญใหม่ที่รับรองสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเราเรากลับหลงลืมที่จะนึกถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนที่ถูก
นิยามว่าชนชั้นล่างของประเทศราวกับว่าพวกเขามีศักดิ์ศรีที่แตกต่าง
เมื่ออยู่ในเมือง เราพูดถึงมนุษยธรรมกันคนละหลาย ๆ ครั้ง
แต่เมื่อเอ่ยถึงของชีวิตคนบ้านนอกที่ต้องแลกกับการพัฒนาเพื่อความสะดวก
สบายของเราเรากลับพากันนิ่งอั้นจนถึงขั้นเดินหนีราวกับฟ้าดินอันอาธรรมได้กำหนดมาให้พวกเขาเป็นผู้เสียสละตลอดกาลกระนั้น
งานครบรอบ ๑ ปี ของ แม่มูนมั่นยืนจัดขึ้นเพื่อสรุปบทเรียนของชาวบ้านบนถนนอันเหยียดยาวของการต่อสู้ของพวกเขาซึ่งน่าที่ชนชั้น
กลางจะได้ถือเอาวาระนี้เป็นโอกาสในการสรุปบทเรียนของเราบ้างทั้งในส่วนของวิธีคิด และจุดยืนในสังคม
หากเราหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมไปทางที่ดีกว่า จริงหรือไม่ว่าจำเป็นต้องอาศัยคนจากทุกระดับชั้น
แต่ที่แน่ๆ เราไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกแล้ว ทรัพยากรและทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้
จะเกื้อกูลมวลมนุษย์ก็ต่อเมื่อเรามีความเคารพในธรรม ชาติ
ร่วมกันกินร่วมกันใช้ในวิถีของการแบ่งปัน หาใช่การกอบโกยปล้นชิงด้วยหลงเชื่ออย่างโง่เขลาว่าคนสามารถควบคุมสรรพสิ่งรวม
ทั้งธรรมชาติได้
อย่างที่เป็นอยู่ตลอดมา
เราไม่อาจพูดได้อีกแล้ว ว่าใครสำคัญกว่าใครการหันหน้าเข้าพูดคุยทำความเข้าใจด้วยความสำนึกในศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมเท่านั้น
ที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนของทุกสิ่ง รวมทั้งเผ่าพันธุ์แห่งมนุษยชาติ