หาดบ้าย หาดทรายทอง วิถีชีวิตบนเกษตรริมโขง
หาดบ้าย หาดทรายทอง วิถีชีวิตบนเกษตรริมโขง
โดย น.ส. เครือมาศ ภักดีไพบูลย์ โปรมแกรมวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
บนดินแดนที่เรียกกันว่าทิเบตมีธารน้ำเล็กๆ สายหนึ่งก่อตัวขึ้นมาจากน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่บนที่ราบสูง ได้ละลายและค่อยๆ ไหลรวมกันจากหยดสู่หยดจนกลายมาเป็นธารน้ำที่มาบรรจบกันด้วยพลังมหาศาลของแรงโน้มถ่วงโลก สายน้ำแห่งนี้ได้ไหลมาจากที่ที่ได้รับการเรียกขานว่า “หลังคาของโลก” ไหลมาบรรจบกับธารน้ำต่างๆ ผ่านที่แห้งแล้งลัดเลาะตามหุบเขาจนเกิดเป็นแม่น้ำของ หรือ แม่น้ำโขง โดยเริ่มต้นตั้งแต่จีน พม่า ไทย ลาว เขมร และเวียดนาม ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงผู้คนถึง 6 ประเทศ หรือถ้าจะตามกระแสการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศก็มักคุ้นหูกับคำว่า “ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง”
ที่ราบลุ่ม 2 ฝั่งแม่น้ำโขงนับว่ามีหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย จึงไม่แปลกที่จะมีผู้คนเข้ามาใช้ประโยชน์จากพื้นที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำโขง บ้านหาดบ้ายถือเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มฝั่งแม่น้ำโขงทางด้านตอนเหนือของดอยหลวง เป็นบ้านชายแดนระหว่างอำเภอเชียงของ-เชียงแสน รวมทั้งชายแดนของประเทศไทยและลาวอันมีแม่น้ำโขงกั้นพรมแดน เมื่อปี พ.ศ.2545 บ้านหาดบ้ายถูกแยกออกเป็นสองหมู่บ้านคือบ้านหาดบ้ายหมู่ 1 และบ้านหาดทรายทองหมู่ 8 ในเขตตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยอยู่ห่างจากตัวเมืองอำเภอเชียงของของประมาณ 36 กิโลเมตร โดยมีถนนหมายเลข 1129 เป็นเส้นทางสายหลักตัดเลียบแม่น้ำโขงผ่านอำเภอเชียงของและเชียงแสน
ชาวบ้านบ้านหาดบ้าย หาดทรายทอง ดำเนินวิถีชีวิตสัมพันธ์กับธรรมชาติบนพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำโขงมาตั้งแต่บรรพกาลมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีวิถีแห่งการทำการเกษตร หรือที่เรียกกันว่า “เกษตรริมโขง” กล่าวคือ เมื่อถึงฤดูกาลน้ำลดในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม นับเป็นช่วงเวลานาทีทองของบ้านหาดบ้าย และบ้านหาดทรายทอง เพราะผืนดินริมโขงจะมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงที่ผืนดินริมโขงจมอยู่ใต้น้ำ ตะกอนและแร่ธาตุต่าง ๆ ได้พัดพาทับถมบริเวณดังกล่าว เมื่อน้ำลดพื้นที่จึงเหมาะกับการเตรียมการทำการเกษตรริมโขงของชาวบ้าน การเกษตรริมโขงจึงพึ่งพาปุ๋ยและสารเคมีในปริมาณที่น้อย ช่วยลดต้นทุนในการเพาะปลูกให้กับชาวบ้านได้ดี ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมีความสำคัญต่อชาวบ้านหาดบ้ายและบ้านหาดทรายทอง ในด้านเศรษฐกิจเนื่องจากได้รับผลิตผลทางการเกษตรที่ดี สร้างความมั่นคงทางทรัพยากรและความมั่นคงทางอาหาร
สำหรับเรื่องระบบกรรมสิทธิ์ที่ดินริมโขง ชาวบ้านบอกว่ามีการจับจองมาตั้งแต่บรรพบุรุษที่ได้บุกเบิกแผ้วถางและมีการสืบทอดกรรมสิทธิ์ในที่ดินรุ่นต่อรุ่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน กรณีที่ใครจับจองแล้วไม่ทำการเกษตรก็สามารถให้คนอื่นทำแทนได้ จะไม่มีการซื้อขายที่ดินใดๆ ทั้งสิ้น
พืชที่นิยมปลูกและนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของบ้านหาดบ้าย หาดทรายทอง ได้แก่ ถั่วลิสง ชาวบ้านบอกว่าจะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อในราคาประมาณถังละ 70-80 บาท ราคานี้จะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับราคาในตลาด ถ้าราคาในตลาดสูงก็จะได้ราคาดี เช่น ถ้าตลาดรับซื้อถังละ 100 บาท พ่อค้าคนกลางก็รับซื้อราคาประมาณถังละ 70-80 บาท ขึ้นอยู่กับพ่อค้าแต่ละคนที่มารับซื้อ ส่วนใบยาสูบเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่ราคามั่นคงแน่นอน จึงสร้างความอุ่นใจให้กับชาวบ้านทำให้ชาวบ้านสามารถคำนวณต้นทุนและผลกำไรในการปลูกใบยาสูบได้ดีกว่าผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ใบยาสูบจะขายกันในกิโลกรัมละ 5 บาท สำหรับข้าวโพดเป็นพืชที่ราคาไม่แน่ไม่นอน บางปีราคาถูก บางปีก็ราคาแพง ราคาตั้งแต่กิโลกรัมละ 2 บาท ถึงกิโลกรัมละ 5 บาท ในการขายผลผลิตทางการเกษตร พ่อค้าคนกลางจะโทรมาสั่งไว้ก่อนล่วงหน้าประมาณ 3 วัน หรือไม่ก็มาดูผลผลิตเอง มีการตกลงราคากันระหว่างพ่อค้าคนกลางกับชาวบ้าน หลังจากนั้นก็จะจับจองผลผลิต ระหว่างนั้นอาจมีการวางเงินจองผลผลิตไว้ก่อน (วางมัดจำผลผลผลิตทางการเกษตร) เพื่อให้แน่ใจในการตกลงซื้อ-ขายผลผลิตทางการเกษตรต่อกัน ระยะเวลาและจำนวนเงินในการตกลงกันในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับความพอใจทั้งสองฝ่ายที่จะกำหนดขึ้นมาเอง เช่น ตกลงขายถั่วลิสงให้จะมารับผลผลิตในระยะเวลา 2 วัน วางมัดจำล่วงหน้าไว้ 2,000 บาท ถ้าไม่มาเอาภายใน 2 วันถือว่าโมฆะ ชาวบ้านจะขายผลผลิตให้พ่อค้าคนอื่นก็ได้ แต่ส่วนมากแล้วจะไม่มีการผิดสัญญาเกิดขึ้น นอกเสียจากว่าพ่อค้าที่จองผลผลิตจะไม่มาเอาจริงๆ ในการทำสัญญาซื้อ-ขายผลผลิตทางการเกษตรในบ้านหาดบ้าย หาดทรายทอง จะเป็นสัญญาในการพูดคุยตกลงกันจะไม่มีลายลักษณ์อักษรเหมือนสัญญาทั่วไป เพราะพ่อค้าและชาวบ้านต่างรู้จักกันดีเปรียบเสมือนญาติพี่น้องกัน มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน มีการค้าขายอย่างนี้มานับตั้งแต่เริ่มทำการเกษตรสมัยปู่ยา ตายายมาแล้ว และนี้ก็คืออีกหนึ่งของความภาคภูมิใจในการทำการเกษตร ที่ถึงแม้จะไม่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่อาชีพเกษตรกรรมสามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์กับบุคลอื่นๆ และความสามัคคีของสมาชิกในหมู่บ้านหาดบาย หาดทรายทอง ได้ดี เห็นได้จากการบอกเล่าของชาวบ้านที่ว่าในการเก็บเกี่ยวผลผลิตในแต่ละครั้งก็จะมีการไปเอามือกัน (ภาษาเหนือเรียกเอามื้อ) และนี้ก็คือการทำเกษตรริมโขงของบ้านหาดบ้าย หาดทรายทอง
วิถีชีวิตดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อโครงการต่างๆ เริ่มทยอยจ่อคิวกันบนสายน้ำโขงที่กล่าวกันว่าเป็นการพัฒนาเพื่อทำให้สายน้ำโขงเป็นสายน้ำทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกษตรริมโขงที่ชาวบ้านหายบ้ายและหาดทรายทองค่อยๆ เลือนหายไปกับการพัฒนาที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น พ่อบุญมี ธรรมวงศ์ แห่งบ้านหาดทรายทองก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ได้ทำเกษตรริมโขงเพื่อเป็นการเลี้ยงชีพมาตั้งแต่จำความได้ แต่ในปัจจุบันนี้กลับมีรายได้จากการทำเกษตรริมโขงลดน้อยลงทั้งที่เป็นรายได้หลักของครอบครัว ซึ่งพ่อเล่าให้ฟังว่า “ในอดีตนั้นน้ำโขงจะขึ้น-ลงตามฤดูกาล เราก็จะรู้ว่าเดือนไหนควรหรือไม่ควรปลูกที่จะลงมือทำอะไร แต่มาในปัจจุบันแม่น้ำโขงขึ้น-ลงผิดปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิด-ปิดเขื่อนของจีนที่ต้องใช้น้ำในการล่องเรือส่งสินค้าช่วยในการขนส่งสินค้า จึงทำให้การทำเกษตรริมโขงถูกน้ำท่วมหลังการเพาะปลูก ได้รับความเสียหายเนื่องจากกระแสน้ำขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเป็นในช่วงฤดูแล้งก็ตาม และยังมีการระเบิดแก่งที่เป็นอันตรายในการขนส่งสินค้าเพราะทำให้น้ำเปลี่ยนทิศทางในการไหล ส่งผลให้กระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งแล้วยังก่อให้เกิดการหายไปของที่ดอนที่ใช้ในการทำเกษตรริมโขงในช่วงน้ำลด ในตอนนี้พื้นที่ที่ใช้ในการทำเกษตรริมโขงก็ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์เหมือนก่อน เนื่องจากการท่วมประจำปีของแม่น้ำโขงที่จะนำพาตะกอนและแร่ธาตุต่างๆ นั้นน้อยลง จึงทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรลดลง ดังนั้นการทำการเกษตรริมโขงจึงจำเป็นต้องหันไปพึ่งพาปุ๋ยเคมีมากขึ้น”
เกษตรริมโขงซึ่งเปรียบดังชีวิตและความมั่งคงทางอาหารของชาวบ้าน บัดนี้ได้ถูกย่ำยีจากโครงการต่างๆที่อ้างว่าคือการพัฒนา ปัจจุบันนี้เกษตรริมโขงได้หายใจอย่างเบาบางลงพร้อมๆ กับลมหายใจของชาวหาดบ้ายและหาดทรายทอง แท้ที่จริงแล้วควรเป็นเช่นนี้หรือ?