ข้อมูลพื้นฐานระบบนิเวศน์-สังคมลุ่มน้ำสาละวิน
(สาละวิน…จากธิเบตถึงอันดามัน สายธารแห่งชีวิตของคนเอเชีย)

fas fa-pencil-alt
โครงการแม่น้ำเพื่อชีวิต
fas fa-calendar
2542

แม่น้ำสาละวินมีต้นกำเนิดจากการละลายของหิมะบริเวณที่ราบสูงทิเบตเหนือเทือกเขาหิมาลัย ที่ระดับความสูงมากกว่า 4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล แม่น้ำสาละวินไหลลงสู่พื้นที่ลาดชันที่เต็มไปด้วยภูเขาทางทิศใต้ ผ่านมณฑลยูนนาน ประเทศจีน และเข้าสู่แผ่นดินพม่าผ่านรัฐฉาน รัฐคะยา ก่อนลดระดับลงเหลือต่ำกว่า 300 เมตรจากระดับน้ำทะเล และกลายเป็นแม่น้ำกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่าที่แม่ฮ่องสอน หลังจากไหลกั้นพรมแดนไทยกับพม่า 118 กิโลเมตร และน้ำเมยที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาตะนาวศรีไหลลงมาบรรจบที่สบเมย แม่น้ำสาละวินก็ไหลวกกลับเข้าพม่าอีกครั้ง และลดระดับลงจนใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเลก่อนเข้าสู่เขตตะนาวศรีและไหลลงสู่อ่าวเมาะตะมะที่เมืองเมาะลำเลิงหรือมะละแหม่ง รวมระยะทางที่ไหลจากชายแดนไทยจนถึงทะเลอันดามันประมาณ 200 กิโลเมตร

ตลอดระยะทางที่ไหลผ่านแผ่นดินของชนต่างๆ แม่น้ำสาละวินถูกเรียกด้วยชื่อแตกต่างกันไป ตอนบนที่ไหลผ่านยูนนานถูกเรียกว่า “นู เกียง” (Nu Giang) ขณะที่ตอนกลางชาวไตเรียกว่า “น้ำคง” (Nam Kong) เช่นเดียวกับชนพื้นเมืองอื่นๆ ในล้านนา เช่น คนลัวะ ไตลอง ไตลื้อ ดาระอั้ง และคนปกากะญอ ล้วนออกชื่อแม่น้ำสาละวินในสำเนียงใกล้เคียงกันว่า “คง” ส่วนคนพม่าเรียกว่า “ตาลวิน” (Talween) ซึ่งชาวอังกฤษเพี้ยนเป็นสาละวิน

แม่น้ำสาละวินเป็นแม่น้ำใหญ่และยาวสายหนึ่งของโลก U.S. Geological Survey (1964) ระบุว่า แม่น้ำสาละวินมีปริมาณน้ำที่เติมน้ำให้กับมหาสมุทรถึง 53 ลูกบาศก์ฟุตต่อวินาที นับเป็นแม่น้ำที่มีปริมาณน้ำมากเป็นอันดับที่ 40 ของโลก ขณะที่ World Atlas, Encyclopedia Britannica ระบุว่า แม่น้ำสาละวินมีความยาว 1,750 ไมล์ หรือ 2,800 กิโลเมตร นับเป็นแม่น้ำที่ยาวอันดับที่ 26 ของโลก สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำสาละวินรองจากแม่น้ำโขงเท่านั้น

ลุ่มน้ำสาละวิน ถิ่นชนพื้นเมือง สองฟากฝั่งลุ่มน้ำสาละวินตั้งแต่ใต้เทือกเขาหิมาลัยจนถึงอ่าวเมาะตะมะเป็นพื้นที่ที่มีชาติพันธุ์ต่างๆ อาศัยอยู่มากมาย นับได้ว่าเป็นลุ่มน้ำที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ชนพื้นเมืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่น้อยกว่า 13 เผ่า เช่น ไต (ไทยใหญ่) ว้า (ลั๊วะหรือละว้า) คะยา (คะเรนนีหรือกะเหรี่ยงแดง หรือบะแว) อาระดัน (ยะไข่) ปะโอ ปะหล่อง (ดาระอั้ง) ปะด่อง อะข่า ลิซู อินเล เป็นต้น ชนชาติพันธุ์เหล่านี้ตั้งชุมชนตามที่ราบเล็กๆ กลางหุบเขา และที่ราบเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน

ด้วยสภาพพื้นที่ที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนยากต่อการเข้าถึงของสังคมภายนอก ทำให้ชุมชนในลุ่มน้ำสาละวินยังคงสืบทอดวิถีชีวิตตามแนวทางของบรรพชน โดยดำเนินชีวิตแบบการเกษตรและพึ่งพิงธรรมชาติ จากการสำรวจในเขตลุ่มน้ำสาละวินที่ผ่านประเทศไทย บริเวณสองฝั่งแม่น้ำเมยและน้ำยวมในปี 2536 พบว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ดำรงชีวิตด้วยการหาอาหารจากป่า จับปลาในแม่น้ำ และปลูกพืชบริเวณริมฝั่งแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด ริมฝั่งแม่น้ำสาละวินที่มีชายหาดสลับกับหน้าผาและบริเวณที่ราบเล็กๆ มีการปลูกพืชในฤดูน้ำลดที่ผืนดินอุดมสมบูรณ์ด้วยปุ๋ยธรรมชาติจากแม่น้ำ

บริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำสาละวินเป็นพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงในฤดูน้ำหลากครอบคลุมพื้นที่หลายล้านไร่ เป็นเขตที่มีชุมชนหนาแน่นที่สุด ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตรโดยอาศัยปุ๋ยธรรมชาติจากแม่น้ำสาละวินที่นำมาทับถมในช่วงฤดูน้ำหลาก แม่น้ำสาละวินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ปลา ทำให้เกิดอาชีพการประมงน้ำจืดทั้งเพื่อการดำรงชีวิตและการค้า นอกจากนี้ พื้นที่ลุ่มน้ำสาละวินในเขตนี้ยังมีการจัดระบบกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินมาตั้งแต่สมัยอังกฤษปกครองพม่า เช่นเดียวกับปากแม่น้ำอิระวดีและเจ้าพระยา (ข้อมูลจากการสัมภาษณ์กะเหรี่ยงที่เคยอาศัยบริเวณปากแม่น้ำสาละวิน เมื่อปี 2536)

สาละวิน.....แหล่งประวัติศาสตร์โลก แม่น้ำสายใหญ่แทบทุกสายมักเป็นถิ่นอาศัยของมนุษย์มาแต่โบราณ แม่น้ำสาละวินก็เช่นเดียวกับแม่น้ำสายใหญ่อื่น ๆ ของโลกที่มีแหล่งโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นสังคมมนุษย์ในปัจจุบัน

มีหลักฐานที่กล่าวได้ว่า สาละวินเป็นลุ่มน้ำที่มีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งต่อประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และของโลกจากการค้นพบแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ในเขตนี้ แหล่งประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ “ถ้ำผี” (Spirit Cave) ซึ่งอยู่ในพื้นที่ภูเขาสลับซับซ้อนทางฝั่งตะวันออกของลุ่มน้ำสาละวิน บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวินในจังหวัดแม่ฮ่องสอน Charoenwongsa (1989) กล่าวว่าถ้ำผีเป็นแหล่งอาศัยของมนุษย์ที่เริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการล่าสัตว์และเก็บพืชผลในธรรมชาติมาใช้ชีวิตแบบเกษตรกรรม จากการขุดพบเครื่องมือหินกะเทาะในชั้นดินที่ 1 ซึ่งมีอายุ 12,000-8,000 ปี มาแล้ว และจากหลักฐานที่พบในชั้นดินที่ 2 อายุ 8,000-7,000 ปี มีการนำเส้นใยจากพืชมาทำเชือกและข่ายจับปลา และนำไปสร้างลวดลายบนเครื่องปั้นดินเผา แสดงให้เห็นว่ามีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ นอกจากนั้นยังพบขวานหินขัดและเศษพืชต่างๆ Gorman (1970) พบว่ามนุษย์สมัยนั้นรู้จักการเพาะปลูกพืช เนื่องจากพบพืชตระกูลต่าง ๆ รวมทั้งพืชตระกูลถั่ว มนุษย์ที่ถ้ำผียังคงล่าสัตว์ป่าเพื่อเป็นอาหาร Charoenwongsa (1989) กล่าวว่าพืชให้น้ำมันบางชนิดที่พบอาจใช้เพื่อจุดไฟให้สว่าง Solheim II (1972) สรุปว่าหลักฐานที่พบแสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นศูนย์กลางการดำเนินชีวิตในรูปแบบเกษตรกรรมเริ่มแรกของโลก ก่อนที่จะพัฒนาเป็นเกษตรกรรมอย่างในปัจจุบัน (อ้างในศูนย์วิจัยป่าไม้, 2534:90-91)

นักวิชาการประวัติศาสตร์เชื่อว่าการค้นพบแหล่งโบราณคดีถ้ำผีในลุ่มน้ำสาละวินมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นหลักฐานที่ยกเป็นตัวอย่างลบล้างความเชื่อเดิมว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ล้าหลัง ต้องอาศัยวัฒนธรรมจากจีนและอินเดียก่อนจะเจริญเป็นบ้านเมือง” (กฤช, 2536)

นอกจากนี้ยังพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบันหลายชิ้นตามแนวเขาริมแม่น้ำสาละวิน เช่น ถ้ำหนึ่งเหนือเขาสบแงะในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวินที่เก็บซ่อนสิ่งของและคำภีร์ใบลานจารึกด้วยอักขระมอญหรือล้านนา แต่ถูกทำลายโดยนักหาของมีค่า (ศูนย์วิจัยป่าไม้, 2534:91)

จากหลักฐานข้างต้นกล่าวได้ว่าลุ่มน้ำสาละวินเป็นลุ่มน้ำที่มีคุณค่าทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่สำคัญของไทยและโลก แต่ยังไม่ได้รับความสนใจจากนักโบราณคดีมากพอ อาจเพราะการไม่ให้ความสำคัญหรือเพราะในเขตนี้มีการสู้รบกันมานานเกือบครึ่งศตวรรษ เชื่อว่ามีหลักฐานอื่นๆ อีกมากที่นักโบราณคดีอาจค้นพบหากได้ศึกษาทั่วลุ่มน้ำอย่างเต็มที่

ระบบนิเวศลุ่มน้ำสาละวิน แม่น้ำสาละวินเป็นแม่น้ำสายใหญ่ของโลกที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ทั้งพรรณพืช สัตว์ป่า และสัตว์น้ำ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว จากสงครามในพม่า การศึกษานิเวศวิทยาในเขตลุ่มน้ำสาละวินยังไม่สามารถทำได้อย่างละเอียดและทั่วถึงตลอดลุ่มน้ำ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวินซึ่งมีแม่น้ำสาละวินไหลผ่านและเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ใหญ่ที่สุดของลุ่มน้ำจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนสาละวินตอนบน

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวินตั้งอยู่ติดกับฝั่งซ้ายของแม่น้ำหรือฝั่งไทย ตั้งแต่จุดที่แม่น้ำสาละวินเป็นพรมแดนไทย-พม่า พื้นที่นี้เป็นส่วนต่อเนื่องระหว่างเขตชีวภูมิศาสตร์ย่อยอินโดจีนกับชีวภูมิศาสตร์สิโนหิมาลายันหรือเขตชีวภูมิศาสตร์ย่อยอินเดีย พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้จึงได้รับอิทธิพลด้านการกระจายชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ป่าจากเทือกเขาหิมาลัยลงมาตามเทือกเขาสูงที่ขนาบแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำโขง จนบรรจบกับเทือกเขาสูงทางภาคเหนือของไทย เช่น เทือกเขาแดนลาว เทือกเขาถนนธงชัย และเทือกเขาผีปันน้ำตะวันตก ชนิดพืชพรรณและสัตว์ป่าที่พบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวินจึงคล้ายคลึงกับชนิดพันธุ์ที่พบแถบเทือกเขาหิมาลัย แคว้นอัสสัมของอินเดีย และพม่า อีกส่วนหนึ่งเป็นชนิดที่พบทางอินโดจีนด้วย (ศูนย์วิจัยป่าไม้, 2534:42)

ในทางภูมิศาสตร์ พื้นที่ป่าที่ต่อเนื่องจากป่าแถบลุ่มน้ำสาละวินลงไปตามลำน้ำเมย จนจรดปลายเทือกเขาตะนาวศรี ครอบคลุมผืนป่าขนาดใหญ่ฝั่งตะวันตกของไทยทั้งหมด ซึ่งมีเขตอนุรักษ์ที่สำคัญหลายแห่ง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อุทยานแห่งชาติไทรโยค อุทยานแห่งชาติเอราวัณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตะนาวศรีที่ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร นักชีววิทยาถือว่าพื้นที่ในเขตนี้ทั้งหมดเป็นเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน Diegnan (1945) เรียกพื้นที่ส่วนที่อยู่ทางด้านตะวันตกติดชายแดนพม่าว่า “มณฑลอินโดพม่า” (Indo-Burmese Province) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตชีวภูมิศาสตร์ย่อยอินโดจีน (อ้างในศูนย์วิจัยป่าไม้, 2534:42)

ด้านพรรณพืช พื้นที่ป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวินมีสังคมพืชที่แตกต่างจากพื้นที่ส่วนอื่นของประเทศ เป็นแหล่งพันธุกรรมของสังคมพืชหลากหลายชนิด และเป็นแหล่งภูมิพฤกษ์แบบอินโดเบอร์มา (Indo-Burma) ซึ่งปรากฏอยู่ในเมืองไทย พรรณพืชในพื้นที่นี้ได้รับอิทธิพลจากเทือกเขาหิมาลัย โดยเฉพาะพันธุ์ไม้เขตหนาวหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ไม้จากภูมิพฤษ์แบบอินโดมาลายา (Indo-Malaya) กระจายขึ้นมาตามเทือกเขาตะนาวศรีแต่มีน้อย พื้นที่นี้จึงนับเป็นแหล่งอนุรักษ์พรรณพืชที่สำคัญของสังคมพืชผลัดใบเขตมรสุม (Monsoon Deciduous Forest) (ศูนย์วิจัยป่าไม้, 2534:25)

ด้านพันธุ์สัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด 20 ชนิด สัตว์ป่าหายาก เช่น เสือโคร่ง เสือไฟ กระทิง และกวางผา มีนก 122 ชนิด เป็นนกประจำพื้นที่ 108 ชนิด และนกอพยพช่วงฤดูหนาว 14 ชนิด นกหายากบางชนิดในไทยพบได้ในผืนป่าเขตนี้ เช่น นกยูงไทย นกแว่นสีเทา ไก่ฟ้าหลังเทา และเหยี่ยวภูเขาที่อพยพในช่วงฤดูหนาว นอกจากนี้ยังพบนกน้ำและนกที่หากินใกล้ชายน้ำหลายชนิด เช่น นกยางเขียว นกยางดำ นกกระแต นกกระเต็น นกกาน้ำ นกอ้ายงั่ว และนกในวงศ์ Anatidae Round (1987) เชื่อว่าน่าจะพบนกเป็ดหงส์ในพื้นที่นี้ด้วย สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกมีไม่น้อยกว่า 38 ชนิด รวมถึงเขียดแลวหรือกบภูเขา ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานหายาก (ศูนย์วิจัยป่าไม้, 2534:43-61)

สำหรับปลาในแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำสาขายังไม่มีรายงานละเอียด มีแต่รายงานที่ทำมานานแล้ว ศูนย์วิจัยป่าไม้ (2534) อ้างรายงานของ Smith (1945) และ Suvatti (1981) ว่าแม่น้ำสาละวินและลำสาขามีปลาน้ำจืดมากกว่า 35 ชนิด อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านปลาเชื่อว่าจำนวนชนิดปลาที่มีอยู่จริงอาจถึง 200 ชนิด

ปลาสำคัญที่น่าสนใจคือปลาไหลหูดำหรือปลาตูหนา ซึ่งหากินในน้ำจืดและน้ำกร่อย ช่วงวางไข่จะว่ายออกไปวางไข่ในทะเล พบปลาชนิดนี้ในแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำแม่กะสะของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เนื่องจากแม่น้ำแม่กะสะไหลลงสู่อ่าวเมาะตะมะที่เมืองเมาะลำเลิง เช่นเดียวกับแม่น้ำสาละวิน (ศูนย์วิจัยป่าไม้, 2534:67 อ้างจาก Smith (1945) และ Suvatti (1981))

จากการสำรวจภาคสนามในปี 2535 พบว่าชาวนาในลุ่มน้ำปายที่มีที่นาที่มีลำน้ำเชื่อมกับลำน้ำปายเคยจับปลาตูหนาในที่นาได้ เช่นเดียวกับชาวบ้านในลุ่มน้ำเงาที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำสาละวิน โดยน้ำเมยและน้ำยวมเคยจับปลาชนิดนี้ได้บ่อยในฤดูหนาวและฤดูน้ำหลาก นักชีววิทยาเชื่อว่าปลาตูหนาเดินทางกลับสู่ทะเลเนื่องจากเกลือในร่างกายหมด ทำให้เกิดแรงกระตุ้นให้เดินทางกลับสู่ทะเลอีกครั้ง

ปลาอีกชนิดหนึ่งที่สำคัญคือปลาสะดือ ซึ่งมีขนาดเท่าปลากรายแต่ไม่มีจุด จัดเป็นปลาหายาก พบในแม่น้ำแควน้อย แควใหญ่ และแม่น้ำตาปี รวมทั้งแหล่งน้ำจืดบนเกาะบอร์เนียวและเกาะสุมาตรา มีรายงานล่าสุดว่าพบที่แม่น้ำสาละวินด้วย (ศูนย์วิจัยป่าไม้, 2534:67)

บริเวณปากแม่น้ำสาละวินยังคงมีพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าที่สำคัญเช่น นกเงือกและช้างป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ตามลำน้ำสาละวินบริเวณปากแม่น้ำยังพบว่ามีจระเข้เป็นจำนวนมาก และเคยพบในลำน้ำสาละวินช่วงที่กั้นชายแดนไทยกับพม่าเหนือบ้านแม่สามแลบขึ้นไป (ข้อมูลจากการสัมภาษณ์กะเหรี่ยงที่เคยอาศัยบริเวณปากแม่น้ำสาละวิน เมื่อปี 2536)

เชื่อว่าหากมีการสร้างเขื่อนสาละวินและโครงการผันน้ำสาละวิน-ภูมิพล โครงการเหล่านี้จะทำลายระบบนิเวศลุ่มน้ำสาละวินอย่างสิ้นเชิง ทั้งจากอ่างเก็บน้ำ ถนน การสร้างหัวงาน และสายไฟฟ้าแรงสูง ชาติพันธุ์ต่าง ๆ บนลุ่มน้ำสาละวินไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ได้ อาจเกิดการอพยพครั้งใหญ่จากการพัฒนา ซึ่งหมายถึงการจบสิ้นของสาละวิน-แม่น้ำมรดกของชนพื้นเมืองบนแผ่นดินใหญ่อุษาคเนย์

เอกสารอ้างอิง: กฤช เหลือลมัย (2536), “บ้านเชียง ตำนานคนขุดคนของโบราณคดีแอ่งสกลนคร” สารคดี ปีที่ 9 ฉบับที่ 97 (มีนาคม) 93-94.

ศูนย์วิจัยป่าไม้ (2534), รายงานการจัดทำแผนปฏิบัติการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำสาละวิน.


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง