ข้อมูลสถานการณ์ในพื้นที่สร้างเขื่อนท่าซางล่าสุด
ข้อมูลสถานการณ์ในพื้นที่สร้างเขื่อนท่าซางล่าสุด (15 ธันวาคม 2545)
จัดทำโดยกลุ่ม Salween Watch
เอกสารแนบหมายเลข 1
สถานการณ์ทหารพม่าในพื้นที่และการตัดไม้รอบที่ตั้งเขื่อนท่าซาง
ปัจจุบันมีทหารพม่าอย่างน้อย 17 กองพันทหารราบประจำการอยู่ในพื้นที่ใกล้กับที่ตั้งเขื่อนท่าซาง ทหารจำนวน 6 กองพันเคลื่อนย้ายเข้ามาประจำการเฉพาะในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา สำหรับบริเวณเมืองเชียงตอง ทางทิศตะวันเฉียงเหนือของเขื่อนท่าซาง เป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่นเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีกองกำลังทหารพม่าเข้ามาประจำการแต่อย่างใด ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้ได้ถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์บัญชาการของทหารพม่าในพื้นที่
เฉพาะเมืองเชียงตองในปัจจุบัน มีทหารประจำทั้งหมด 4 กองพัน การขยายงานสร้างถนนสายใหม่หลายสายในพื้นที่แห่งนี้ยิ่งเป็นการเปิดพื้นที่ให้ทหารพม่าเข้ามาเสริมกำลังทหารมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว รวมทั้งส่งเสริมให้อัตราการตัดไม้ในผืนป่าเชียงตองสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ การตัดไม้ดังกล่าวจัดเป็นกลยุทธทางการทหารอย่างหนึ่งของรัฐบาลทหารพม่าในการกวาดล้างกองกำลังไทยใหญ่ โดยการตัดไม้ให้เตียนโล่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้พลัดถิ่นภายในชาวไทยใหญ่ซึ่งใช้ผืนป่าเป็นที่หลบซ่อนพักพิง (ผู้พลัดถิ่นเหล่านี้มาจากหมู่บ้านชนบทซึ่งกองทัพพม่าบังคับโยกย้ายถิ่นฐานตั้งแต่ปี 1996) คอยส่งเสบียงหรือให้การสนับสนุนกองกำลังไทยใหญ่
สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชน
การบังคับใช้แรงงาน
ชาวบ้านท้องถิ่นซึ่งส่วนใหญ่ถูกบังคับให้เคลื่อนย้ายถิ่นฐานตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา ถูกทหารพม่าบังคับใช้แรงงานสร้างถนนสายใหม่จากเมืองเชียงตองในช่วงสองปีที่ผ่านมาโดยไม่ได้รับค่าแรงตอบแทน นอกจากนี้ รัฐบาลทหารพม่ายังได้นำเครื่องจักรและส่งนักโทษจำนวนมากเข้ามาใช้แรงงานสร้างถนนหลายสายในเขตนี้เช่นกัน
ในช่วงปี 2002 ที่ผ่านมา รัฐบาลทหารพม่าได้ประกาศว่านับจากนี้เป็นต้นไปจะไม่มีการบังคับใช้แรงงานฟรี แต่ในความจริง ชาวบ้านจากหลายหมู่บ้านยังคงถูกบังคับใช้แรงงาน ทั้งในการสร้างถนน และซ่อมแซมค่ายทหารให้กองทัพพม่าตามเมืองต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ของรัฐฉาน บริเวณเมืองเชียงตอง เมืองกุ๋นฮิง เมืองโต๋น และเมืองปั่น ตรงข้ามกับจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 – 12 พฤษภาคม ต้นปีที่ผ่านมา ชาวบ้านจากหมู่บ้านศาลา (Wan Sala) และ ปาเลา (Palao) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้ของที่ตั้งเขื่อนท่าซางถูกทหารพม่ากองพันทหารราบเบาที่ (LIB) 519 บังคับให้ซ่อมแซมค่ายและสำนักงานของทหารใกล้กับที่ตั้งเขื่อนท่าซาง
การข่มขืน
จากรายงาน “ใบอนุญาตข่มขืน” ซึ่งจัดทำโดยกลุ่มกิจกรรมหญิงไทยใหญ่ (Shan Woman Action Network หรือ SWAN) และมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่ (Shan Human Right Foundation) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าสถานที่ซึ่งผู้หญิงมากกว่าครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ทั้งหมด 173 เหตุการณ์ถูกข่มขืนคือบริเวณใกล้เคียงกับที่ตั้งของเขื่อนท่าซางและพื้นที่ซึ่งจะถูกน้ำท่วมหากมีการสร้างเขื่อน
รายงานจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนเมื่อเดือนพฤษภาคมเปิดเผยว่า ทหารพม่ากองพันทหารราบเบาที่ (LIB) 519 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ท่าซาง ได้บังคับผู้หญิงไทยใหญ่จำนวน 9 คนไปคอยรับใช้กิจกรรมทางเพศให้กับทหารในค่ายระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2002 (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ในจดหมายข่าวของมูลนิธิสิทธิมนุษยนไทยใหญ่ฉบับเดือนเมษายน 2002 เรื่อง Mothers of small children conscripted as porters, and raped, in Murng Na, www.shanland.org) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหน้าทีมสำรวจ 36 คนจากประเทศไทยจะเดินทางไปถึงที่ตั้งเขื่อนท่าซางเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
การสังหารโหดและทรมานชาวบ้าน
เหตุการณ์ทหารพม่าทำการสังหารโหดและทรมานชาวบ้านตามหมู่บ้านต่าง ๆ และชาวบ้านผู้พลัดถิ่นภายในซึ่งอาศัยหลบซ่อนตัวตามราวป่าใกล้กับพื้นที่รอบเขื่อนท่าซางยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ล่าสุดที่ได้รับรายงานเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา คือ ผู้หญิง 3 คนข่มขืนและฆ่า พร้อมกับชาย 5 คน โดยทหารพม่ากองพันทหารราบเบาที่ 502 ในหมู่บ้าน Tawng Kwai ห่างจากสะพานท่าซางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 15 ไมล์
ส่วนพื้นที่เมืองกุ๋นฮิง ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเขตน้ำท่วม จัดเป็นพื้นที่ที่มีชาวบ้านผู้พลัดถิ่นภายในถูกฆ่าตายอย่างโหดร้ายในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมปี 2000 คือ เหตุการณ์ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กรวม 64 คน ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับแม่น้ำสาละวิน ถูกสังหารหมู่ โดยทหารพม่ากองพันทหารราบที่ 246
การถอนสิทธิความเป็นพลเมืองท้องถิ่น
สิ่งที่เป็นผลสืบเนื่องจากแผนงานสร้างเขื่อนท่าซางของรัฐบาลทหารพม่าในช่วงที่ผ่านมา คือ รัฐบาลทหารพม่าพยายามลดต้นทุนการสร้างเขื่อน โดยการบังคับให้ชาวบ้านโยกย้ายออกจากพื้นที่สร้างเขื่อนไปอยู่ในเขตควบคุมของทหาร และถอนชื่อชาวบ้านออกจากทะเบียนประชากรในพื้นที่ การกระทำดังกล่าวทำให้รัฐบาลพม่าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนในพื้นที่หากมีการสร้างเขื่อน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการสร้างเขื่อนลดลง
นอกจากนี้ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลได้จัดทำสัมมโนประชากรใหม่ในเขตหลายพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ที่ทำการสำรวจจะนับจำนวนประชากรเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบ้านขณะช่วงเวลาที่ทำการสำรวจ หากสมาชิกของบ้านหลังใดไม่อยู่บ้าน เจ้าหน้าที่จะตัดชื่อออกจากสัมมโนประชากร ทำให้ชาวบ้านสูญเสียสิทธิความเป็นพลเมืองในพื้นที่ไปโดยปริยาย สิ่งที่เกิดขึ้นหมายความได้ว่า ขณะนี้ชาวบ้านผู้พลัดถิ่นภายในและผู้ลี้ภัยที่หนีมายังประเทศไทยหลายคนได้สูญเสียสิทธิความเป็นพลเมืองของตนเองไปเรียบร้อยแล้ว
และในช่วงต้นปี 2002 ที่ผ่านมา การจัดทำสัมมโนประชากร ในลักษณะเดียวกันได้เกิดขึ้นในเมืองเชียงตองซึ่งเป็นพื้นที่รอบเขื่อนท่าซางเช่นกัน แต่การดำเนินการครั้งนี้ แตกต่างไปจากพื้นที่อื่น เนื่องจากทหารพม่าได้เคลื่อนย้ายชาวพม่าจากภาคกลางของประเทศประมาณ 500 ครอบครัวเข้ามาอาศัยในพื้นที่แห่งนี้นับตั้งแต่ปี 2001 และชาวพม่ากลุ่มนี้ได้รับการบันทึกให้เป็นพลเมืองท้องถิ่นโดยความเห็นชอบจากทหารพม่า ขณะที่ชาวบ้านท้องถิ่นจำนวนหลายพันคนกลับถูกบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในเขตควบคุมและสูญเสีย สิทธิความเป็นพลเมืองของตนไปโดยปริยาย
สถานการณ์การตัดไม้ในพื้นที่น้ำท่วมและพื้นที่รอบ ๆ
ผืนป่าทางตอนเหนือและใต้ของที่ตั้งเขื่อนท่าซางจัดเป็นผืนป่าที่อุดมสมบุรณ์ที่สุดของรัฐฉานที่หลงเหลือไม้มากนัก ปัจจุบัน ผืนป่าแห่งนี้กำลังถูกบริษัททำไม้ทั้งจากประเทศไทย และประเทศพม่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกับครอบครัวนายทหารระดับสูงในกองทัพพม่าและราชาเสพติดชื่อดังเริ่มเข้าไป ดำเนินการตัดไม้อย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของกองกำลังทหารในพื้นและการขยายถนนหนทางซึ่งเชื่อมต่อกับโครงการสร้างเขื่อนท่าซาง ได้นำไปสู่การทำลายผืนป่าแห่งนี้อย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
บริษัทตัดไม้ของไทยที่เข้าไปดำเนินการตัดไม้ในพื้นที่แห่งนี้ เช่น บริษัทไทยสวัสดิ์ ปัจจุบันยังคงดำเนินการเปิดป่าในพื้นที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดำเนินการตัดถนนไปสู่เขื่อนท่าซางเพื่อขนไม้ด้วยตนเอง ไม้จากพื้นที่แห่งนี้ถูกส่งไปยังเมืองโต๋น ตรงข้ามจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนั้นถูกส่งต่อไปยังจังหวัดท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ก่อนจะขนเข้าสู่ประเทศไทย