สร้างเขื่อนสาละวินในพม่า ซื้อไฟฟ้าแถมผู้ลี้ภัย

fas fa-pencil-alt
นิตยสารสารคดี
fas fa-calendar

ขณะที่ปัญหาเขื่อนปากมูลยังรู้จะว่าจะลงเอยอย่างไร   ข่าวการสร้างเขื่อนสาละวินถึงสองแห่งในเขตประเทศพม่าและบริเวณชายแดนไทย – พม่าซึ่งเงียบหายไปนานหลายปีก็เริ่มแว่วชัดเจนมากขึ้น   คราวนี้ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตบอกว่า คราวนี้ไม่มีปัญหาเรื่องคนจะออกมาประท้วงแน่ ๆ  เพราะประเทศพม่ายังไม่มีเสรีภาพเหมือนประเทศไทย  และไม่มีเอ็นจีโอคอยยุยงส่งเสริม  หลังจากคำนวนต้นทุนและไฟฟ้าที่ได้ในขณะนี้พบว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าจากเขื่อนสาละวินอยู่ที่ราคา 90 สตางต์ต่อหน่วยเท่านั้น  ช่วยประหยัดต้นทุนค่าไฟได้ปีละ 30,000 ล้านบาทเลยทีเดียว  คนไทยส่วนใหญ่ที่ได้ฟังข้อมูลดังกล่าวคงรู้สึกอยากสนับสนุนให้สร้างเขื่อนสาละวินเต็มที่เพราะ ดูเหมือนไม่มีปัญหาและอุปสรรคใด ๆ ขวางกั้น  แต่สำหรับคนที่ติดตามปัญหาของประเทศพม่าอย่างต่อเนื่องจะพบว่า  ต้นทุนค่าไฟฟ้าจากเขื่อนสาละวินไม่ได้มีเพียงเท่านั้น  และหากคิดคำนวนให้ถ้วนถี่จะพบว่า ค่าไฟฟ้าที่ได้จากการสร้างเขื่อนสาละวินอาจแพงกว่าเขื่อนทุกเขื่อนที่เคยสร้างในประเทศไทย  เพราะยังมีค่าดูแลรักษา “ผู้ลี้ภัย” จากการสร้างเขื่อนที่รัฐบาลทหารพม่ามอบให้ และไม่มีใครตอบได้ว่าจะต้องจ่ายค่าดูแลนี้หนักหนาและนานเท่าใด

โครงการเขื่อนสาละวินทั้งสองแห่งที่กำลังพูดถึงในขณะนี้ คือ  โครงการเขื่อนท่าซาง  ตัวเขื่อนแม่และเขื่อนลูก  (เนื่องจากทั้งสองโครงการใช้เทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าแบบสูบน้ำจากเขื่อนด้านล่างกลับขึ้นไปใช้ใหม่    แต่ละโครงการจึงต้องสร้างเขื่อนสองเขื่อนควบคู่กัน  คือ เขื่อนแม่และเขื่อนลูก )  กั้นแม่น้ำสาละวินบริเวณท่าเรือท่าซาง  ตอนใต้ของรัฐฉาน  ประเทศพม่า ห่างจากชายแดนไทยด้านจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 130 กิโลเมตร  มีบริษัท MDX บริษัทสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าเอกชนของไทยเป็นเจ้าของโครงการร่วมกับรัฐบาลพม่า  เริ่มดำเนินโครงการในปี 2541 กำลังการผลิตรวมประมาณ 3,300 เมกะวัตต์  ใช้เงินลงทุนอย่างต่ำ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือหนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท

โครงการที่สองมีชื่อว่า โครงการเขื่อนสาละวินตอนบนและล่าง  กั้นแม่น้ำสาละวิน  บริเวณอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน  มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าของโครงการร่วมกับรัฐบาลพม่า   โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำเมย - สาละวินระหว่างชายแดนไทย - พม่า  เมื่อปี 2532  และมีบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนและกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น (Electric Power Development Company  หรือ EPDC) เป็นผู้ทำการศึกษา   ผลการศึกษา เสนอให้สร้างกั้นแม่น้ำเมยและสาละวินระหว่างชายแดนไทย – พม่าทั้งหมด 8 เขื่อน  แบ่งออกเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำเมย 6 เขื่อน และแม่น้ำสาละวิน 2 เขื่อน คือ เขื่อนสาละวินตอนบนกำลังการผลิต 4,540 เมกะวัตต์  และเขื่อนสาละวินตอนล่าง กำลังการผลิต 792 เมะกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตทั้งหมดประมาณ 5,000 เมกกะวัตต์  ใช้เงินลงทุนอย่างต่ำ  5,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ สองแสนล้านบาท

เนื่องจากแต่ละโครงการต้องสร้างเขื่อน 2 เขื่อน  คือ เขื่อนแม่และเขื่อนลูก  พื้นที่ที่จะถูกน้ำท่วมจึงมีจำนวนมากเป็นสองเท่ากว่าเขื่อนทั่วไป  ซึ่งหมายความว่า  ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจะต้องเพิ่มมากเป็นสองเท่าด้วยเช่นกัน   

โครงการเขื่อนท่าซาง ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐฉาน ประเทศพม่า  จะทำให้เกิดน้ำท่วมผืนป่าเชียงตอง ผืนป่าดั้งเดิมและอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในรัฐฉาน    รวมทั้งเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของชาวไทยใหญ่ และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ นับสิบชาติพันธุ์ ซึ่งตั้งบ้านเรือนตลอดฟากฝั่งแม่น้ำสาละวินและอาศัยแม่น้ำสายนี้หล่อเลี้ยงชีวิตมาหลายชั่วอายุคน  ส่วนโครงการเขื่อนสาละวินตอนบนและล่าง ซึ่งกั้นแม่น้ำสาละวินบริเวณชายแดนไทย-พม่าจะทำให้เกิดน้ำท่วมเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน ของประเทศไทย  และบ้านเรือนของกลุ่มชนชาติกระเหรี่ยงแดง หรือคะเรนนี ในรัฐคะยาห์   และชนชาติกะเหรี่ยง ในรัฐกะเหรี่ยง 

                ปัญหาสำคัญของการสร้างเขี่อนสาละวิน ที่นอกเหนือไปจากเขื่อนที่เคยสร้างในประเทศไทย  คือ   ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าต่อกลุ่มชนชาติส่วนน้อย  ซึ่งตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน  ประเทศพม่าเป็นประเทศที่มีถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลเผด็จการทหารมากที่สุดในโลก   และผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากปัญหานี้มาตลอด คือ ประเทศไทย  เห็นได้จากจำนวนค่ายผู้ลี้ภัยและผู้ลี้ภัยหลายแสนคนตลอดชายแดนไทย – พม่า  รวมไปถึงแรงงานอพยพจากประเทศนับล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาทำงานในเมืองไทยด้วยผลสืบเนื่องมาจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ในประเทศบ้านเกิดของตน   

ปัจจุบัน  ผลพวงจากปัญหาผู้ลี้ภัยและแรงงานอพยพนับล้านคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกำลังปรากฎชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสาธารณสุข  ปัญหาอาชญากรรม  และปัญหาเด็กไร้สัญชาติ  ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยต้องแบกรับตลอดไป  แม้ว่าวันข้างหน้าประเทศพม่าจะยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้วก็ตาม  เพราะเด็ก ๆ เหล่านี้เกิดและเติบโตในเมืองไทย  การกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศพม่าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และหากประเทศไทยไม่เปิดโอกาสทางการศึกษาอย่างเหมาะสม  โอกาสที่เด็กจะเติบโตและก่อปัญหาให้กับสังคมไทยในอนาคตก็จะเพิ่มมากขึ้น  ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ลี้ภัยจึงมากมายมหาศาล และอาจมากกว่าเขื่อนใด ๆ ในประเทศไทยม

ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่หลายคนแสดงความเป็นห่วงคือ การข่มขืนผู้หญิงไทยใหญ่และชนชาติส่วนน้อยในพื้นที่ที่จะมีการสร้างเขื่อน  เพราะการสร้างเขื่อนจะทำให้ทหารพม่าเข้ามาในพื้นที่นี้เพิ่มมากขึ้น  และจากรายงาน  “ใบอนุญาตข่มขืน” ซึ่งจัดทำโดยกลุ่มกิจกรรมผู้หญิงไทยใหญ่ (Shan Woman's Action Network หรือ SWAN)  และมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่ (Shan Human Rights Foundation) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าสถานที่ซึ่งผู้หญิงมากกว่าครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ข่มขืนโดยทหารพม่า 173 เหตุการณ์ เกิดขึ้นบริเวณใกล้เคียงกับที่ตั้งของเขื่อนท่าซาง  ตัวแทนจากกลุ่มกิจกรรมผู้หญิงไทยใหญ่เล่าว่า  เหตุการณ์ล่าสุดที่ได้รับรายงานเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา  คือ  ผู้หญิง 3 คนข่มขืนและฆ่า  พร้อมกับชาย 5 คน  โดยทหารพม่ากองพันทหารราบเบาที่ 502   ในหมู่บ้านตองควายห่างจากสะพานท่าซางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 15 ไมล์  ปัจจุบัน พื้นที่แห่งนี้มีทหารเข้ามาในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ตัวแทนจากกลุ่ม Salween Watch  องค์กรซึ่งติดตามสถานการณ์การสร้างเขื่อนสาละวินอย่างต่อเนื่องกล่าวถึงสถานการณ์ล่า สุดเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า

“ปัจจุบันบริเวณใกล้กับที่ตั้งเขื่อนท่าซางมีทหารพม่าประจำการอยู่อย่างน้อย 17 กองพันทหารราบ  จำนวน 6 กองพันเคลื่อนย้ายเพิ่งเข้ามาใหม่ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา   ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีกองกำลังทหารพม่าเข้ามาประจำการแต่อย่างใด   ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้ได้ถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์บัญชาการของทหารพม่าในพื้นที่   การสร้างถนนและการตัดไม้ในพื้นที่เหล่านี้  ทำให้ทหารพม่าเข้ามาเสริมกำลังทหารมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว  ขณะนี้พื้นที่ป่าลดลงเรื่อย ๆ  เป้าหมายอย่างหนึ่งของการตัดไม้ให้เตียนโล่ง คือ การป้องกันไม่ให้ชาวบ้านไทยใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่ตามราวป่าส่งเสบียงให้กับกองกำลังไทยใหญ่ นอกจากนี้ทหารพม่ายังรบังคับให้ชาวบ้านโยกย้ายออกจากพื้นที่สร้างเขื่อนไปอยู่ในเขตควบคุมของทหาร  และถอนชื่อชาวบ้านออกจากทะเบียนประชากรในพื้นที่  ซึ่งหากรัฐบาลพม่าดำเนินการสร้างเขื่อน คนกลุ่มนี้ก็จะไม่ได้ค่าชดเชยใด ๆ เลย”

หลังจากบริษัท MDX และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตออกมาให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชนว่าจะผลักดันให้มีการสร้างเขื่อนทั้งสองแห่งอย่างแน่นอน   ตัวแทนเครือข่ายองค์กรพันธมิตรคัดค้านเขื่อนสาละวิน 69 องค์กรจากประเทศไทยและประเทศพม่าจึงเดินทางไปยื่นแถลงการณ์คัดค้านการสร้างเขื่อนสาละวินต่อนายไกรศักดิ์ ชุณหวัณ ประธานกรรมมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2545

องค์กรส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการคัดค้านครั้งนี้ คือ องค์กรการเมืองและประชาชนจากประเทศพม่า  หนึ่งในองค์กรสำคัญ คือ องค์กร National League for Democracy (Liberated Area) ของนางอองซานซูจี ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้ชัยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 1990 แต่ถูกรัฐบาลทหารชุดปัจจุบันทำการยึดอำนาจ องค์กร National Council of the Union of Burma ซึ่งองค์กรพันธมิตรทางการเมืองในประเทศพม่า 37 องค์กร และองค์กร National Democratic Front ซึ่งเป็นองค์กรพันธมิตรของชนชาติต่าง ๆ ในประเทศไทย 9 องค์กร นอกจากนี้ยังมีกลุ่มองค์กรชนชาติต่างๆ จากประเทศพม่าเข้าร่วมลงนามคัดค้านการสร้างเขื่อนแห่งนี้ โดยเฉพาะเครือข่ายองค์กรผู้หญิงชนชาติต่าง ๆ ในประเทศพม่า เนื่องจากพื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนสาละวินเป็นพื้นที่ที่มีสถิติการข่มขืนผู้หญิงชนชาติต่าง ๆ มากที่สุด

                นายไกรศักดิ์ ชุนหวัณกล่าวแสดงความคิดเห็นหลังจากรับฟังแถลงการณ์ว่า

“ผมคิดว่า การสร้างเขื่อนสาละวินจะส่งผลกระทบกับประเทศไทยในด้านลบ  ปัญหาสำคัญที่คนไทยจะต้องแบกรับคือ ปัญหาผู้ลี้ภัย และความมั่นคงตามชายแดน  หากมีการสร้างเขื่อนทั้งในเขตรัฐฉานและชายแดนไทยตรงข้ามจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผู้ลี้ภัยจะต้องมากขึ้น และประเทศไทยจะแบกรับภาระตรงนี้ไม่ไหว ซึ่งปัญหานี้จะก่อให้ปัญหาด้านความมั่นคงต่อไปอีก"

 “นอกจากนี้ ภาพพจน์ของประเทศไทยจะได้รับผลกระทบในด้านลบเช่นกัน  เพราะถือว่าช่วยสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า  ขนาดประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะเป็นผู้ให้เงินลงทุนในการสร้างเขื่อนสาละวิน ผมได้สอบถามไปยังรัฐบาลญี่ปุ่นแล้ว เขายังยืนยันว่า ญี่ปุ่นไม่มีการสนับสนุนการสร้างเขื่อนแห่งนี้ รวมไปถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในพม่า จนกว่าพม่าจะพัฒนาไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย   ดังนั้น ประเทศไทยควรคิดให้ดีก่อนจะเข้าร่วมลงทุนในโครงการนี้”

                ความคืบหน้าของโครงการล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา บริษัท MDX จากประเทศไทยได้เดินทางไปยังกรุงร่างกุ้ง ประเทศพม่า และร่วมลงนามเห็นชอบในการสร้างเขื่อนท่าซางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ส่วนโครงการเขี่อนสาละวินบริเวณชายแดนไทย – พม่า  ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เดินทางไปเจรจากับรัฐบาลพม่ามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา  และมีกำหนดจะเดินทางไปเจรจาเรื่องที่ตั้งของโรงไฟฟ้าอีกครั้งในต้นปี 2546  โดยทางกฟผ. ต้องให้ตั้งในเขตประเทศไทย เพื่อดำเนินการขอเงินกู้จากแหล่งทุนได้ง่ายกว่าในเขตประเทศพม่า  ทั้งสองโครงการประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบในการหาเงินกู้และดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ  ทั้งหมด สำหรับไฟฟ้าที่ได้แบ่งเป็นสองส่วน  สำหรับประเทศไทยและพม่า  

ส่วน “ของแถม”  คือ ผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน  ประเทศไทยรับไปเต็ม ๆ ไม่ต้องแบ่งครึ่ง เพราะในเมื่อประเทศพม่ายังไม่มีเสรีภาพ ไม่มีเอ็นจีโอ  ผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้จะหันหน้าไปพึ่งใคร  ถ้าไม่ใช่ “พี่ไทย”  ประเทศที่มีเสรีภาพและประชาธิปไตย 

 


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง