เขื่อนหัวนา ต้องศึกษา แก้ไขและชดเชยผลกระทบ ตามกฎหมาย
เขื่อนหัวนา ต้องศึกษา แก้ไขและชดเชยผลกระทบ ตามกฎหมาย
ก่อนการดำเนินการใด ๆ ต่อไป
เขื่อนหัวนา ซึ่งเป็นเขื่อนตัวใหญ่ที่สุดในโครงการโขง ชี มูล ใหญ่กว่าเขื่อนราษีไศล ๒ เท่า กำลังดำเนินการก่อสร้างเกือบแล้วเสร็จ ใน ขณะที่ยังไม่มีการจัดทำรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนการก่อสร้าง ถือเป็นการละเมิดกฎหมาย-พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษา คุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๔๖-๕๑ ซึ่งบัญญัติให้โครงการขนาดใหญ่ของรัฐต้องศึกษาก่อนการก่อสร้าง
เขื่อนหัวนายังฝ่าฝืนระเบียบของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯซึ่งประกาศในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๓๕ ที่กำหนดให้เขื่อนที่เก็บกักน้ำเกิน ๑๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร และพื้นที่ชลประทานเกิน ๘ หมื่นไร่ ต้องศึกษาผลกระทบก่อนสร้าง ซึ่งเขื่อนหัวนาเก็บกักน้ำทั้งสิ้น ๑๑๕.๖๒ ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ชลประทาน ๑๕๔,๐๐๐ ไร่
เขื่อนหัวนาก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ โดยกระทำผิดกฎหมายมาตลอด
ที่สำคัญ จะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าเขื่อนราษีไศลเสียอีก เช่น น้ำจะท่วมที่ดินทำกินของราษฎรไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ ไร่ ท่วม ป่าทามและป่าดงดิบอันเป็นแหล่งยังชีพของคนจน การสูญเสียพันธุ์ปลา การสูญเสียแหล่งดินทำเครื่องปั้นดินเผา ดินและน้ำเค็มแพร่ กระจาย และชาวบ้านคนยากคนจนต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเช่นเดียวกับการสร้างเขื่อนอื่น ๆ หลายเขื่อนที่รัฐบาลยังแก้ปัญหาให้ ชาวบ้านไม่ได้
เกือบสองปีมาแล้ว เราชาวบ้านในพื้นที่พากันวิตกกังวลว่าจะได้รับความเดือดร้อนจากเขื่อนหัวนา ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อหน่วย งานราชการทุกระดับ ตั้งแต่ อำเภอ จังหวัด กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (เจ้าของโครงการ ) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ฯลฯ เพื่อให้ ทางราชการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบกฎหมาย แต่เกือบสองปี ไม่มีการดำเนินการใด ๆ หน่วยงานรัฐทำผิด กรมพัฒนาฯ ยังลอยนวลก่อสร้างเขื่อนหัวนาต่อไป โดยปิดบังและบิดเบือนข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา โดยไม่มีกลไกรัฐส่วนไหนจะคุ้มครองสิทธิ์ชาวบ้านได้เลย
วันนี้ เราผู้เดือดร้อนจึงไม่อาจทนเฉยให้หน่วยงานรัฐกระทำย่ำยีอีกต่อไป จึงใช้สิทธิ์ในการชุมนุมอย่างสงบตามรัฐธรรมนูญ มาตราที่ ๔๔ โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้
๑.ให้ชะลอการก่อสร้างเขื่อนหัวนาไว้ก่อน
๒.ให้ทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ๒๕๓๕ และตามระเบียบกระทรวง วิทยาศาสตร์ฯ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๓๕
๓.ให้มีมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นทุกปัญหา ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นกับราษฎร ต้องมีการชดเชยอย่างยุติธรรม ก่อน การดำเนินการใด ๆ ต่อไป
ชาวลุ่มน้ำมูลเจ็บปวดมาเพียงพอแล้วจากเขื่อนราษีไศลซึ่งไม่มีการศึกษาใด ๆ ก่อนการสร้าง การทำตามข้อเรียกร้องนี้จะไม่ทำให้ผิด พลาดซ้ำรอยราษีไศลอีก เราถูกหลอกมาเพียงพอแล้ว จะไม่ยอมอีกต่อไป
แถลงมาด้วยความเคารพสิทธิ์ของทุกท่าน
จาก กลุ่มผู้เดือดร้อนจากเขื่อนหัวนา อำเภอราษีไศล ,อุทุมพรพิสัย ,เมือง ,ยางชุมน้อยและอำเภอกันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ
เ รี ย น พี่ น้ อ ง ช า ว ลุ่ ม น้ำ มู ล ผู้ มี จิ ต ใ จ เ ป็ น ธ ร ร ม ทุ ก ท่ า น
เราผู้ซึ่งมาชุมนุมที่บริเวณเขื่อนหัวนา ตำบลหนองแก้ว อำเภอกัณทรารมย์ ในขณะนี้ คือราษฎรสองฝั่งแม่น้ำมูล ใน ๕ อำเภอ คือกัณทรารมย์ ยางชุมน้อย เมือง อุทุมพรพิสัย และอำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเราวิตกกังวลว่าจะได้รับความ เสียหายจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนหัวนา เช่นเดียวกับที่พี่น้องเขื่อนราษีไศลเคยโดนมาแล้ว
การชุมนุม ถือเป็นสิทธิ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๔ ซึ่งประชาชนไทยสามารถชุมนุมอย่างสงบปราศจากอาวุธ เรามาเพื่อนำเสนอปัญหาของเราเพื่อให้รัฐบาลมาช่วยแก้ปัญหา และขอประกาศว่า เราจะดำเนินการด้วยเหตุด้วยผล จะไม่ใช้ความรุนแรงและก่อความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ผู้ใดอย่างเด็ดขาด
ความจำเป็นต้องชุมนุมในครั้งนี้ก็คือ เรากังวลว่าจะเกิดความเสียหาย เช่นน้ำท่วมที่ดินทำกินของราษฎรหลายหมื่นไร่ ท่วมป่าริมแม่น้ำมูลอันเป็นแหล่งหาอยู่หากินของพวกเราเช่นเดียวกับเขื่อนราษีไศล ปัญหาพันธุ์ปลาสูญหายและเกิดโรคระบาด เหมือนเขื่อนปากมูล
ตามกฎหมายระบุให้โครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ต้องศึกษาผลกระทบทุกด้านก่อนการก่อสร้าง เพื่อหาทางป้องกัน แก้ไขปัญหาทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ให้ทางเขื่อนกำหนดเขตน้ำท่วมให้ชัดเจน ตรวจสอบที่ดินของราษฎรทุกแปลงที่จะถูกน้ำท่วม จ่ายค่า ทดแทนอย่างเป็นธรรมก่อนก่อสร้าง
เขื่อนหัวนาสร้างมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ โดยไม่ได้ศึกษาผลกระทบใด ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่มีใครเอาผิดได้ เกือบ ๒ ปีที่ผ่านมาเราได้ร้องเรียนต่อทางราชการมาแล้วทุกระดับ แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลเลย ทั้งยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่ราษฎร และ ต่อสังคมทั่วไป คนที่ยังไม่เคยเห็นยังเข้าใจกันว่าเป็นการก่อสร้าง "ฝายยาง" ขนาดเล็ก ๆ เท่านั้น
ในแผนการของโครงการ จะมีการอพยพราษฎร ๔ หมู่บ้าน คือ บ้านเปือย ทั้งสองหมู่ ใน ต.หนองแก้ว บ้านหนองหวาย และบ้านหนองโอง แต่กระทั่งวันนี้ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เจ้าของโครงการก็ยังปิดบังข้อมูลส่วนนี้อยู่ มิหนำซ้ำ ที่ดินทำกิน ของพวกเราสองฝั่งแม่น้ำมูลกว่า ๓ หมื่นไร่ ยังถูกทางราชการยึดไปเป็นที่หลวง เพื่อมอบให้เป็นอ่างเก็บน้ำของเขื่อนหัวนาอีกด้วย ซึ่งขาดความยุติธรรมเกินกว่าที่เราจะทนได้
ความคิดที่ว่า "ราชการจะไม่ปล่อยปละละเลย" ได้รับการพิสูจน์แล้วที่ราษีไศลว่าไม่จริง พี่น้องชาวราษีไศลต้องบ้านแตก สาแหรกขาดอยู่ในขณะนี้ เพราะมีการสร้างเขื่อนโดยไม่ศึกษาผลกระทบก่อนสร้าง และมีการยับยั้ง ขู่ปรามไม่ให้ราษฎรแสดงความ คิดเห็นใด ๆ เราต้องสรุปมาเป็นบทเรียนให้ได้
ดังนั้น แนวทางป้องกันมิให้ปัญหาเกิดซ้ำรอยอีกก็คือ ต้องชะลอการก่อสร้างเขื่อนหัวนาไว้ก่อน แล้วให้มีการศึกษาผล กระทบทุกด้านที่จะเกิดขึ้น ถ้าเกิดความเสียหายจากการก่อสร้าง ต้องมีมาตรการป้องกัน แก้ไข และชดเชยอย่างยุติธรรม ก่อนจะ ดำเนินการใด ๆ ต่อไป
เราขอเชิญชวน พี่น้องที่คิดว่าจะได้รับผลกระทบจากเขื่อนหัวนา มาร่วมกันผลักดันในครั้งนี้ ไม่ต้องลังเลอีกต่อไป เพราะ เราสู้อยู่ในกรอบของกฎหมาย และเราเพียงแต่เรียกร้องให้หน่วยงานรัฐ คือกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เจ้าของเขื่อนหัวนาทำตาม กฎหมายเท่านั้น.
จากพวกเรากลุ่มผู้เดือดร้อนอำเภอกัณทรารมย์ ยางชุมน้อย เมือง อุทุมพรพิสัย ราษีไศล
๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๒