แถลงการณ์
ของขวัญถึงรัฐบาลไทย หมายเลข 1
ก่อนจะเป็นของขวัญ
เกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสการพัฒนาของประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งประกอบด้วยจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และ เวียตนาม มีโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นมากมาย เช่น โครงการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงตอนบนของจีนยูนนานจำนวน 8 เขื่อน (สร้างเสร็จและเปิดใช้แล้ว 3 เขื่อน) โครงการระเบิดเกาะแก่งในลำน้ำโขงเพื่อการเดินเรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ โครงการเขตการค้าเสรีอาเชียน-จีน ฯลฯ โครงการพัฒนาเหล่านี้สร้างผลกระทบต่อชีวิตของคนในชุมชนท้องถิ่นริมฝั่งแม่น้ำโขงอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเขตแม่น้ำโขงภาคเหนือของไทย อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย กระแสน้ำในลำน้ำโขงเปลี่ยนแปลงไปเพราะการเปิดปิดเขื่อนของจีนเพื่อการเดินเรือพาณิชย์ของจีนได้ขึ้นลงค้าขาย ทั้งเพื่อการปล่อยน้ำจากภาวะน้ำท่วมในเขตหน้าเขื่อนของจีน นอกจากนี้กระแสน้ำที่เปลี่ยนทางหลังจากระเบิดเกาะแก่งเหนือสามเหลี่ยมทองคำขึ้นไปยังทำให้สายน้ำไหลแรงจนผืนดินสองฝั่งโขงพังทลายไปปีละหลายสิบไร่ ทั้งหมดนี้ทำให้วิถีชีวิตคนริมฝั่งโขงแทบล่มสลาย เพราะปริมาณพันธุ์ปลาลดลง พื้นที่เกษตรริมฝั่งโขงถูกน้ำท่วม จนความมั่นคงทางอาหารและผืนดินริมฝั่งสูญสลาย บางชุมชนผู้คนต้องอพยพไปหากินต่างถิ่น หลายชุมชนต้องเปลี่ยนอาชีพ
กล่าวสำหรับ เหตุการณ์เมื่อวันที่ 9-15 สิงหาคม 2551 เกิดน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบสี่สิบปีในเขตแม่น้ำโขง-อิงและกกตอนปลาย สาเหตุหลักมาจากการเปิดเขื่อนในจีนอย่างฉับพลัน เพราะน้ำท่วมหนักหน้าเขื่อนจนมีรายงานข่าวของทางการจีนว่า มีผู้เสียชีวิต 40 คน และผู้คนหลายแสนคนต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ด้วยเหตุนี้น้ำจึงท่วมฉับพลันเพียงในวันเดียวเกือบสองเมตร น้ำโขงหนุนเข้าสู่แม่น้ำอิงและกกซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาลึกเข้าไปเกือบ 30 กิโลเมตร ก่อผลให้พื้นที่เกษตร สัตว์เลี้ยง บ้านเรือนและผืนแผ่นดินชายฝั่งเสียหายอย่างมหาศาล หลังน้ำลดลงในวันที่ 15 สิงหาคม 2551 สำรวจผลกระทบประเมินค่าความเสียหายเบื้องต้นเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 85 ล้านบาท
หลังจากน้ำท่วมใหญ่แล้วเครือข่ายชาวบ้านในแม่น้ำอิง-กก ตอนปลายและชายฝั่งโขงได้ร่วมกันฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นริมน้ำโขงตามกำลังที่พอมี ทั้งการฟื้นฟูอาชีพ กองทุนเมล็ดพันธุ์และสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตาม สำหรับแผ่นดินไทย-ผืนดินริมฝั่งโขงได้สูญเสียไปกับกระแสน้ำโขงอย่างมากเช่นที่บ้านห้วยลึก และบ้านปากอิงใต้ การเข้ามาช่วยเหลือของหน่วยงานรัฐเป็นไปอย่างล่าช้า ด้วยความกังวลและด้วยความรักผูกพันที่มีต่อแผ่นดินเกิดจึงทำให้เครือข่ายชาวบ้านลุ่มน้ำอิง-กก ตอนปลายและชายฝั่งโขง ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา ได้รวมพลังปักหลัก เสริมดิน ป้องกันตลิ่งพังริมฝั่งโขง ณ บ้านปากอิงใต้ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 25 – 27 เมษายน 2552 นี้
โดยมีเครือข่ายชาวบ้านจากเครือข่ายรักทะเลกรุงเทพฯ และสิ่งแวดล้อมบางขุนเทียน เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น จ.ระนอง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เครือข่ายสิทธิคนจน จ.ภูเก็ต เครือข่ายชุมชน จ.พังงา เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองพิจิตร เครือข่ายฟื้นฟูลุ่มน้ำทะลสาบสงขลา เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนบ้านกุ่ม เครือข่ายฟื้นฟูเกาะลันตา กลุ่มฮักบ้านเฮาพะเยาเมืองน่าอยู่ เครือข่ายชุมชนศรัทธาจ.ชายแดนใต้ เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ เครือข่ายองค์กรชุมชนเมืองเชียงใหม่ เครือข่ายองค์กรชุมชนเมืองอุบล กลุ่มรักสิทธิลุ่มน้ำโขง และโครงการแม่น้ำเพื่อชีวิต ได้มาร่วมแรงร่วมใจกันในการสร้างแนวป้องกันตลิ่งพังริมฝั่งโขง เพื่อเป็นพลังการพึ่งตนเองของคนเล็กคนน้อยซึ่งไม่เคยได้รับการเอาใจใส่อย่างจริงจังจากรัฐบาล และเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ล้านนาถึงรัฐบาลไทยในการที่จะรับของขวัญนี้อย่างตระหนักรู้และ หันมาใส่ใจในชุมชนท้องถิ่นริมฝั่งโขงซึ่งถูกกระทำจากนโยบายพัฒนาในประเทศลุ่มน้ำโขง
ของขวัญถึงรัฐบาลไทย หมายเลข 1
ของขวัญถึงรัฐบาลไทยในครั้งนี้ ขอมอบให้เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทย โดยเฉพาะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องตระหนักและหันกลับมาทบทวนแนวนโยบายและการทำงานช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของประเทศในลุ่มน้ำโขง เพราะชุมชนท้องถิ่นเป็นรากฐานความมั่นคงของประเทศ หากแผ่นดินและวิถีชีวิตคนชายขอบริมฝั่งแม่น้ำโขงล้มสลายแล้วประเทศชาติจะอยู่ได้อย่างไร นโยบายการพัฒนาในประเทศลุ่มน้ำโขงที่ผ่านมาเปรียบได้ดั่งการปล่อยให้ประเทศชาติสูญเสียอธิปไตยทางอาหารแล้วและกำลังนำมาซึ่งการสูญเสียอธิปไตยแห่งรัฐ
นอกจากนี้ ของขวัญชิ้นนี้มอบให้เพื่อเตือนสติว่า ต่อจากนี้รัฐบาลไทยต้องมีนโยบายและแผนพัฒนาที่ให้เกียรติคนยากคนจน คนชายขอบ เคารพและสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นในทุกที่ของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะเมื่อเครือข่ายชาวบ้านหรือชุมชนท้องถิ่นได้รวมตัวกันพึ่งตนเองด้วยลำแข็งลำขาของคนเล็กคนน้อยแล้ว จำเป็นที่รัฐบาลต้องหนุนเสริมชุมชนท้องถิ่นเหล่านั้น โดยไม่ใช่มีเพียงแนวนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษและโอกาสแต่เพียงองค์กรภาคทุนเศรษฐกิจหรือองค์กรทุนข้ามรัฐแต่เพียงด้านเดียว แนวนโยบายและการทำงานของรัฐบาลไทยต่อจากนี้ไปต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพต่อธรรมชาติและมีความเท่าเทียมต่อมนุษย์ เพราะการพัฒนาที่เคารพธรรมชาติและศรัทธาในความเท่าเทียมกันของมนุษย์เท่านั้นจะนำมาซึ่งความสงบสุข ความมั่นคงของประเทศชาติ
เคารพธรรมชาติและศรัทธาในความเท่าเทียมกันของมนุษยชาติ