ราชการ นักวิชาการ
ชาวบ้านเห็นพ้องเขื่อนอีสานสร้างผลกระทบ
รายงานสถานการณ์การเดินทางไกลสมัชชาคนจนรณรงค์ให้เปิดประตูเขื่อนปากมูล-ราษีไศลถาวร
วันที่
7 พฤศจิกายน 2544
เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานจากขบวนเดินทางไกล
ขบวนเดินเท้าทางไกลรณรงค์ให้เปิดเขื่อนปากมูล
และเขื่อนราษีไศลอย่างถาวร
เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ
ชุมชนลุ่มน้ำมูน
ได้เดินทางมาถึงอำเภอท่าตูม
จ.สุรินทร์แล้ว
โดยได้เดินเข้าพักแรมที่วัดโพธิ์พฤกษาราม
ต.ท่าตูม อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์
ทางองค์กรชาวบ้านต่าง ๆ
รวมทั้งกลุ่มนักพัฒนา
ศิลปิน นักเขียน
ในเขตจังหวัดสุรินทร์
ให้การต้อนรับ
เมื่อเวลา 9.00 น.
ของวันที่ 7 พย. 44
องค์กรเอกชนในเขตจังหวัดสุรินทร์
อาทิเช่น โครงการทามมูน
เครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดสุรินทร์
ได้จัดเวที เสียงจากคนลุ่มน้ำมูน
ขึ้น
เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสมัชชาคนจนที่กำลังเดินทางไกล
โดยจัดขึ้น ณ
ลานวัดโพธิ์พฤกษารามที่พัก
ริมฝั่งแม่น้ำมูน
โดยมีนายเสรี จิตเกษม
รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์
อ.บัณฑร อ่อนคำ
นักวิชาการอิสระ อ.มนัส ธัญญเกษตร
อาจารย์สถาบันราชภัฏสุรินทร์
และประธานประชาคมสุรินทร์เสวนา
นายสุขี ภูรักษา
ตัวแทนชาวบ้านกรณีเขื่อนปากมูล
นายไพจิตร ศิลารักษ์
ตัวแทนชาวบ้านกรณีเขื่อนราษีไศล
โดยมีนายสนั่น ชูสกุล
เป็นผู้ดำเนินรายการ
เวทีเสวนาครั้งนี้นอกจากสมาชิกที่ร่วมเดินทางไกลกว่า
120 คนแล้ว
ยังได้รับความสนใจจากชาวบ้านในเขตอำเภอท่าตูมหลายร้อยคนเข้าร่วมฟังการเสวนาด้วย
ประเด็นของการเสวนานั้นได้พูดถึง
แนวทางการฟื้นฟูแม่น้ำมูน
และชีวิตของคนลุ่มน้ำมูน
โดยเริ่มจากการบอกเล่าปัญหาและเสนอแนวทางของตัวแทนชาวบ้าน
และบอกถึงเหตุผลที่ออกมาเดินเท้ารณรงค์ครั้งนี้
รวมทั้งความคิดความคาดหวังในการฟื้นฟูแม่น้ำมูน
นายสุขี
ตัวแทนชาวบ้านจากกรณีเขื่อนปากมูล
ได้กล่าวถึงปัญหาที่ 8
ปีผ่านมา
หลังจากที่สร้างเขื่อนปากมูล
ทำให้พันธุ์ปลาลดน้อยลงมาก
อาชีพประมงจึงทำไม่ได้เหมือนแต่ก่อน
แต่พอมีมติ ครม.
ให้เปิดเขื่อนเพื่อศึกษา 4
เดือน
ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าปลาขึ้นมาจากแม่น้ำโขงได้จริง
จึงมีการออกมาเดินรณรงค์
บอกกล่าวกับพี่น้องตามสายน้ำมูลให้มีการสนับสนุนการเปิดเขื่อนถาวร
การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำมูน
ก็เท่ากับว่าเป็นการปิดประตูตู้กับข้าวของพี่น้อง
ซึ่งหากินปูปลาเหมือนตะก่อนก็หาไม่ได้เป็นเวลา
8 ปี มาแล้วครับ
ที่พี่น้องสองฝั่งแม่น้ำมูนหาปลาไม่ได้
จึงออกมาเดินขอความเป็นธรรม
จากผู้มีอำนาจ
มารณรงค์เพื่อให้ทางรัฐบาลได้พิจารณาเปิดเขื่อนปากมูลอย่างถาวร
เปิดเขื่อนเพื่อให้ความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา
4 เดือนที่ผ่านมา
แสดงให้เห็นว่าเปิดเขื่อนแล้วปลาขึ้นมากว่าร้อยชนิด
พี่น้องมีความดีอกดีใจ
ความขัดแย้งในชุมชนก็ลดลง
ทางด้านนายไพจิตร
ศิลารักษ์
ตัวแทนชาวบ้านราษีไศล
ได้เล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเกิดจาก
การที่หน่วยงานที่สร้างเขื่อนไม่มีความจริงใจ
และปิดบังข้อมูลความจริง
ไม่มีการศึกษาผลกระทบก่อนการสร้างเขื่อน
ทำให้เกิดปัญหาจนทุกวันนี้ แนวทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ทั้งดินและน้ำเค็มคือการเปิดเขื่อนอย่างถาวร
เพราะการมีเขื่อนก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว
ในส่วนของนักวิชาการและทางรองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์
นายเสรี จิตเกษม ได้เห็นพ้องกันว่า
การพัฒนาที่ผ่านมานั้นไม่มีการบอกความจริงด้านข้อมูลต่าง
ๆที่เกี่ยวกับผลกระทบของโครงการ
ชาวบ้านไม่มีโอกาสรับรู้ข้อมูลความจริง
ทำให้เกิดปัญหาตามมา
และแนวทางการฟื้นฟูนั้นได้เสนอแนวไว้สองแนวทางคือ
ทั้งรัฐบาลและประชาชนต้องมีส่วนร่วมทั้งสองส่วน
ควรให้องค์กรชาวบ้านมีส่วนร่วม
มีการจัดตั้งเครือข่ายประสานความร่วมมือกันในการฟื้นฟู
ส่วนฝ่ายรัฐบาบนั้นต้องเข้ามาสนับสนุนเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติอย่างจริงจัง
เขื่อนปากมูล
ถ้ารู้ว่าสร้างแล้วกระทบกระเทือนขนาดนี้
ผมคือคนหนึ่งที่จะไม่ให้สร้าง
รัฐต้องไม่หลอกลวง
ต้องบอกทั้งคุณและโทษของเขื่อน
นายเสรี จิตเกษม รองผู้ว่าฯ
กล่าว
ส่วนทางอาจารย์บัณฑร อ่อนคำ
ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับการแก้ปัญหาของคนอีสานว่า
การแก้ปัญหาให้คนอีสานไม่ใช่การสร้างเขื่อน
เพราะทำให้น้ำเค็ม
ต้องสร้างป่าถึงจะแก้ปัญหาได้
แม่น้ำคือระบบที่เอื้ออำนวยต่อการมีชีวิตอยู่ของคนหรือระบบการสนับสนุน
และกล่าวว่า การฟื้นฟูต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน
และตอนนี้ประชาชนเริ่มแล้ว
แต่รัฐยังไม่เริ่ม
ภายหลังการเสวนาชาวบ้านท่าตูมยังได้กล่าวให้กำลังใจชาวบ้านที่เดินรณรงค์ต่อสู้ต่อไป
อีกทั้งได้สนับสนุนเงินบริจาค
อาหารและร่วมจัดเวทีแสดงดนตรีให้กำลังใจ
และยังได้ร่วมกันทำพิธีสืบชะตาแม่น้ำมูนเพื่อให้แม่น้ำมูนกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
สำหรับกิจกรรมต่อไปนั้น นายไพรพิจิตร
ศิลารักษ์ได้กล่าวว่า สมัชชาคนจนยืนยันที่จะเดินรณรงค์ตลอดสองฝั่งแม่น้ำมูนต่อไปเพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของ
แม่น้ำและขอการสนับสนุนเพื่อให้เปิดประตูเขื่อนปากมูลและราษีไศลอย่างถาวร ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากพี่น้องลุ่มน้ำมูนเป็นอย่างดี และว่ากิจกรรมครั้งนี้แม้จะเหนื่อยยากแต่ชาวบ้านก็จะยืนหยัดต่อสู้ต่อไปเพื่อให้คืนความ
อุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำมูนให้กลับคืนมาและเป็นมรดกสำหรับคนรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
|