ข้อเสนอเพื่อก้าวพ้นความรุนแรงกรณีเขื่อนปากมูล
ประภาส ปิ่นตบแต่ง
(กรรมการและเลขานุการ
คณะกรรมการกลางเพื่อแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน
และอาจารย์ประจำ
วิทยาลัยการบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา)
๑.ความนำ
ปัญหาเขื่อนปากมูลเกิดขึ้นสืบเนื่องยาวนานมาเป็นเวลากว่า
๑๐ ปีหลังการสร้างเขื่อน
รัฐบาลชวน ๑ ได้มีข้อตกลง
จ่ายค่าชดเชยอาชีพประมงให้แก่ชาวบ้านในช่วงระยะเวลา
๓
ปีระหว่างการดำเนินการก่อสร้างเขื่อน
มีข้อตกลงกันว่า หลัง
สร้างเขื่อนจะไม่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน
เพราะมีมาตรการฟื้นฟูต่างๆ
เช่น การสร้างบันไดปลาโจน
และการปล่อย
พันธุ์สัตว์น้ำ
ในขณะที่ฝ่ายกฟผ.และรัฐบาลเห็นว่า
ชีวิตชาวบ้านเป็นปกติสุข
มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ฝ่ายชาวบ้านกลับเห็นว่า
วิถีชีวิตเดิมถูกทำลาย
สภาพดำรงชีพที่พึ่งอยู่กับการประมงลุ่มน้ำมูลหายไปการชุมนุมเรียกร้องของชาวบ้านปากมูลหลังสร้างเขื่อน
ได้เกิดขึ้นต่อ
เนื่องมาหลายรัฐบาล
โดยมีข้อเรียกร้องเรื่องค่าชดเชยอาชีพประมงที่สูญเสียไป
ช่วงรัฐบาลนายบรรหาร
ศิลปอาชา
การเจรจากับรัฐบาลระหว่างการ
ชุมนุม เคยมีมติครม. ๒๒
เมษายน ๒๕๓๙
ยอมหลักในหลักการว่า
มีความเดือดร้อนจริงและมีการพิสูจน์ปัญหา
ความเดือด
ร้อนของชาวบ้านและพิจารณามาตรการแก้ไข แต่การดำเนินการหยุดลงเพราะมีการยุบสภา
ช่วงรัฐบาลพลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ การชุมนุม ๙๙
วันของสมัชชาคนจน (๒๔ มกราคม-๒ พ.ค.๒๕๔๐)
มีมติครม. ๒๒ เมษายน ๒๕๔๐
อนุมัติในหลักการให้มีการจ่ายค่าทดแทนความเสียหาย
โดยให้มีการหาที่ดินเพื่อทำการเกษตรครอบ
ครัวละ ๑๕ ไร่
หากไม่สามารถหาที่ดินได้ให้จ่ายเป็นเงิน หลังการลาออกของพลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ รัฐบาลนายชวน
หลีกภัย ได้มีมติครม. 21 เมษายน 2541
ไม่ให้มีการจ่ายค่าชดเชยซ้ำซ้อนย้อนหลังกรณีเขื่อนที่สร้างแล้ว
อย่างไรก็ดี
การชุมนุมเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยอาชีพประมงของชาวบ้านกรณีเขื่อนปากมูลยังคงเกิดขึ้นอย่างสืบเนื่อง
โดยใน ช่วงรัฐบาลนายชวน
หลีกภัยชาวบ้านได้ชุมนุมที่บริเวณหัวงานของเขื่อนเป็นเวลา
๑๔ เดือน
และได้บุกเข้ายึดตัวเขื่อนใน
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓
โดยในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม
ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้เข้ากรุงเทพฯ และบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล
ในบรรยากาศแห่งการเผชิญหน้า
การเจรจากับรัฐบาลได้ข้อตกลงให้ตั้งคณะกรรมการกลางเพื่อแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน
ประกอบด้วยนักวิชาการ ๑๐
ท่าน ร่วมเป็นกรรมการ
แต่งตั้งโดย ฯพณฯ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาด
ไทย (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน)
ด้วยความหวังว่า
กระบวนการพิจารณาด้วยหลักแห่งเหตุผลทางวิชาการจะเป็นที่ยอมรับและ
ปฏิบัติได้
๒.วิธีทำงานของคณะกรรมการกลางฯ
คณะกรรมการกลางฯ
มีองค์ประกอบส่วนใหญ่คือ
นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมชลประทาน
ด้านประมง ด้านสิ่งแวด ล้อม
ด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์
ฯลฯ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคณบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ
ได้เริ่มทำงานโดยประชุมครั้งแรกใน
วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๓
และขอขยายเวลาทำงานจาก ๑๕
วัน เป็นเวลา ๓๐ วัน
สิ้นสุดอายุการทำงานในวันที่
๖ กรกฎาคม ๒๕๔๓
ซึ่งได้มีการมอบข้อเสนอทั้งหมดต่อ
ฯพณฯ บัญญัติ
บรรทัดฐานอย่างเป็นทางการในสิ้นสุดการทำงาน
การทำงานของคณะกรรมการกลางฯ
ได้มีข้อตกลงกันตั้งแต่การประชุมครั้งแรกว่า
ถึงแม้จะมีการเสนอมาจาก ๒
ฝ่าย
แต่กระบวนการทำงานจะสร้างกลไกและวิธีการที่ละลายความเป็นฝักฝ่าย
โดยจะใช้หลักการและมาตรฐานทางวิชาการที่ตั้งอยู่
บนกระบวนการใช้เหตุใช้ผล
ใช้หลักฐาน
ข้อมูลข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยปัญหาและการแสวงหาข้อเสนอแนะ
การพิจารณาหรือวินิจฉัยของคณะกรรมการกลางฯจึงไม่ใช้วิธีการโหวตแม้แต่ครั้งเดียว
มติของคณะกรรมการกลางฯ
เป็นความ
เห็นร่วมที่เกิดจากกระบวนการไตร่สวนและการวินิจฉัยบนฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์
และข้อเท็จจริงต่างๆ
๓.
เหตุผลเรื่องการเปิดประตูระบายน้ำทั้ง
๘ บาน
โจทย์การวินิจฉัยสำคัญคือ
การสร้างเขื่อนปากมูลหลังการกักเก็บน้ำ
มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านเดิม
ชาวบ้านมีความ
เดือดร้อนจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการทำอาชีพประมง
ผลการวินิจฉัยคือ
ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลทางด้านการประมง
ข้อมูลจากการพิสูจน์ความเดือดร้อนในรัฐบาลที่ผ่านมา
และข้อ
มูลจากโดยนักวิชาการ พบว่า
รายได้จากการทำประมงลดลง
และจำนวนชาวประมงบริเวณเหนือเขื่อนลดลง
ขณะเดียวกัน กฟผ.
อ้างถึงข้อมูลสถิติของกรมประมงที่ปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำในจังหวัดอุบลราชธานีในภาพรวมว่ามีจำนวน
เพิ่มขึ้น แต่ไม่มีข้อมูลโดยตรงบริเวณเขื่อน
ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มขึ้นในพื้นที่อื่น
หรือเพิ่มขึ้นจากการเลี้ยงปลาในกะชังที่มีการ
ส่งเสริมโดยบริษัทเอกชนให้ชาวบ้านเลี้ยงปลาทับทิม
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
จากเหตุผลทางวิชาการเชื่อได้ว่า
การสร้างเขื่อนปากมูลมีผลกระทบต่อประชากรสัตว์น้ำ
ระบบ นิเวศน์
และการทำประมงเหนือเขื่อน
เนื่องจากไปขัดขวางการอพยพของสัตว์น้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ช่วงน้ำหลากที่เป็นระยะ
เวลาการแพร่พันธุ์วางไข่
สำหรับมาตรการที่ดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างบันไดปลาโจนนั้นไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะชด
เชยสภาพเดิม
ดังนั้น
เมื่อเกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านหลังการสร้างเขื่อนปากมูล
จึงพิจารณาว่าจำเป็นต้องมีมาตรการที่จะฟื้นฟู
สภาพนิเวศของแม่น้ำมูลที่เดิมเคยเป็นฐานทรัพยากรในการ
ดำรงชีพของชาวบ้านด้านประมง
การเปิดประตูน้ำทั้ง
๘ บานเป็นระยะเวลา ๔ เดือน
จึงเป็นมาตรการสำคัญอย่างหนึ่งเพื่อการฟื้นฟูสภาพนิเวศน์ของแม่น้ำมูล
โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่า
การเปิดประตูน้ำทั้ง ๘
บานเป็นระยะเวลา ๔
เดือนในช่วงฤดูฝน (ประมาณเดือนพฤษภาคม-
สิงหาคม) มีผลดีคือ ปลาสามารถอพยพขึ้นมาวางไข่ตามธรรมชาติ
มีการเคลื่อนย้ายของปลาจากแม่น้ำโขงเข้าสู่แม่น้ำมูล
เกิด
ผลดีด้านการอนุรักษ์อย่างแน่นอนโดยเฉพาะในเรื่องทำให้พันธุ์ปลามีความหลากหลาย
(Bio-diversity) และจะเกิดผลประ
โยชน์ด้านเศรษฐกิจด้านประมงกับชาวบ้านริมแม่น้ำมูล
ทั้งนี้
ได้เสนอว่า
ต้องมีคณะกรรมการพหุภาคีเพื่อดูแลและศึกษาผลกระทบทั้งทางด้านบวกและลบจากมาตรการเปิดประตู
ระบายน้ำ
โดยคณะกรรมการกลางฯ
ได้เสนอให้ตั้ง คณะกรรมการพิจารณาทดลองการเปิดประตูระบายน้ำกรณีเขื่อนปากมูล
โดยอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ
ชุดนี้ไม่ใช่การพิจารณาว่า
จะเปิดหรือไม่เปิดประตู
น้ำ
แต่จะทำหน้าที่ทางด้านวิชาการ
และด้านเทคนิค
เพื่อให้ข้อเสนอด้านเทคนิคว่า
จะเปิดประตูน้ำอย่างไร
และทำหน้าที่ศึกษาผลกระทบทั้งทางด้านบวกและ
ลบจากมาตรการเปิดประตูระบายน้ำ
และเสนอแนะมาตรการสนับสนุนด้านการประมง
ด้านนิเวศวิทยา
และการบรรเทาผล
กระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น
การเลื่อนตัวของดินชายฝั่ง
การเลี้ยงปลาในกระชัง
และรายได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าต่อการ
ทดลองเปิดประตูระบายน้ำ
องค์ประกอบส่วนที่สำคัญที่เป็นหัวใจของคณะกรรมการฯ
คือ
นักวิชาการจากสถาบันการศึกษาด้านประมง
ด้านวิศว กรรม
และด้านสังคมศาสตร์
เพื่อทำหน้าที่เสนอแนะทางด้านเทคนิคและเป็นคณะผู้ศึกษาผลกระทบ ส่วนองค์ประกอบที่เหลือ
คือ
ตัวแทนจากผู้ได้รับผลกระทบทั้งด้านบวกและลบจากการการเปิดประตูน้ำ
และส่วนราชการในระดับจังหวัดที่จะให้ความ
สนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการฯ
๔.ข้อถกเถียงและเหตุผลคัดค้าน
มาตรการเปิดประตูระบายน้ำทั้ง
๘ บาน เป็นระยะเวลา ๔
เดือนในช่วงฤดูฝน (ประมาณเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม)
มีการพิจารณาถึงผลดีผลเสียโดยเฉพาะผลกระทบด้านลบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังการเปิดประตูระบายน้ำ
ดังต่อไปนี้
๔.๑
ประเด็นผลกระทบต่อระบบการจ่ายพลังงานไฟฟ้า
กฟผ.ได้ชี้แจงว่า
แม้ว่าปัจจุบันการหยุดผลิตกระแสไฟฟ้าจากเขื่อนปากมูลจะยังไม่กระทบกระเทือน
ต่อความมั่นคง
ของระบบไฟฟ้า
เพราะมีกำลังไฟฟ้าสำรองมากแต่หากเศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้นในอนาคตอาจมีปัญหาเรื่องความต้อง
การไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
และอาจส่งผลต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม
จากข้อมูลการผลิตพลังงานไฟฟ้าในปี
2541 พบว่า
มีหลายเดือนที่เขื่อนปากมูลไม่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด
(Peak Load) แสดงให้เห็นว่า
ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถรองรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของจังหวัดอุบล
ราชธานีและใกล้เคียงได้
และไม่พบว่าในเดือนดังกล่าวมีปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับ
ที่มีสาเหตุมาจากการหยุดผลิตไฟฟ้าของ
เขื่อนปากมูลแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ข้อมูลการคาดการณ์การผลิตพลังงานไฟฟ้าในเดือน
กรกฎาคม ตุลาคม ปี 2541
พบว่าเขื่อนปากมูลจ่าย
พลังงานไฟฟ้า
ในช่วงเวลาปกติ 65 % และ
ในช่วง Peak 35 % เท่านั้น
และหากหยุดการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนปากมูล
4 เดือนจะส่งผลกระทบต่อค่า FT
เท่ากับ 0.0061 บาทต่อ KWh
หรือหากหยุดการผลิตพลังงานไฟฟ้าทั้งปี
จะส่งผลกระทบต่อค่า FT
เท่ากับ 0.0038 บาทต่อ KWh
๔.๒
ประเด็นการสูญเสียรายได้จากการผลิตไฟฟ้า
ทางตัวแทนกฟผ.ชี้แจงว่า
หากหยุดการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเขื่อนปากมูลนั้น
ทางกฟผ.จะต้องซื้อกระแสไฟฟ้าจากประเทศ
ลาวหรือต้องซื้อเชื้อเพลิงประเภทอื่นมาผลิตกระแสไฟฟ้า
ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินของการสูญเสียรายได้จากการผลิตกระแส
ไฟฟ้าถึงปีละ ๒๑๒ ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม
คณะกรรมการเชื่อว่าการเปิดประตูระบายน้ำเป็นเวลา
๔ เดือน (ประมาณพฤษภาคม-
สิงหาคม) จะทำให้ค่า
ใช้จ่ายในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง
แต่ผลเสียนี้ก็ควรนำไปเปรียบเทียบกับผลดีในด้านอื่น
ที่จะได้รับจากการ
เปิดประตูระบายน้ำ
๔.๓
ผลกระทบต่อผู้เลี้ยงปลาในกะชัง
ผู้เลี้ยงปลากะชังส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนปากมูลโดยส่วนใหญ่อยู่เหนือแก่งสะพือ
ขึ้นไปจนถึง จ.อุบลราชธานี
ซึ่งพบว่ามีอยู่ประมาณ ๒๐๐
รายหรือประมาณ ๑,๐๐๐ กระชัง
โดยการเลี้ยงปลาดังกล่าวเป็นการเลี้ยงปลาทับ
ทิมและปลานิล
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเจริญโภคภัณฑ์และกรมประมง
ดังนั้น
การเปิดประตูระบายน้ำจึงไม่ส่งผล
กระทบต่อผู้เลี้ยงปลาในกะชังในบริเวณดังกล่าว
ส่วนในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนปากมูล
มีผู้เลี้ยงปลาในกะชัง ๑๒
ราย
แต่เนื่องจากการเลี้ยงปลาในกะชัง
เป็นการ
เลี้ยงแบบแพที่สามารถขึ้นลงตามระดับน้ำได้
และเลี้ยงตรงบริเวณน้ำลึกหรือวังน้ำ
จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้เลี้ยง
ปลาในกะชัง
และเกาะแก่งธรรมชาติในลำน้ำมูล
จะช่วยไม่ให้ระดับลดต่ำลงจนเป็นอุปสรรคต่อการเลี้ยงปลาในกะชัง
๔.๔
ผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ใช้น้ำในพื้นที่ชลประทาน
40,000 ไร่
การวินิจฉัยคือ
พื้นที่ชลประทานเป็นพื้นที่เพาะปลูกในโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าขนาดเล็ก
เพื่อการชลประทานใน
ฤดูแห้งที่ดำเนินการมาก่อน
และมีลักษณะเป็นสถานีสูบน้ำแบบแพลอย
หากเปิดเขื่อนในช่วงฤดูฝน
จะกระทบต่อเกษตรกร
ผู้ใช้น้ำไม่มากนักเพราะสถานีสูบน้ำจะขึ้นลงตามระดับน้ำได้
และเกษตรกรยังสามารถใช้น้ำฝนตามธรรมชาติได้ เกษตรกรผู้
ใช้น้ำที่กล่าวอ้างกันจึงไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสีย
๔.๕ ข้อโต้แย้งว่า
ไม่ควรมีมาตรการใดๆ
ในการแก้ไขปัญหา
เพราะรัฐบาลได้จ่ายค่าชดเชยไปกว่า
๑,๐๐๐ ล้านบาทแล้ว
การจ่ายค่าชดเชยที่ผ่านมาเป็นไปตามข้อตกลงกันในช่วง
๓ ปี
ระหว่างการก่อสร้างเขื่อน
และค่าชดเชยที่เกี่ยวข้องกับ
ความเสียหายจากผลกระทบของการสร้างเขื่อนเป็นเรื่องปกติที่ต้องดำเนิน
การตามความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
๕.บทสรุป
: ตั้งกรรมการได้กรรมการ?
ข้อเสนอของคณะกรรมการกลางฯ
ต่อกรณีการแก้ปัญหาเขื่อนปากมูล
ได้เสนอต่อ ฯพณฯ
รัฐมนตรีมหาดไทยใน
ฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายกรัฐมนตรีให้ดูแลเรื่องนี้
การตัดสินใจของฝ่ายการเมืองที่ส่วนต่างๆ
ของสังคมน่าติดตามก็คือ
อาจจะเป็นไปได้ว่า ตั้งกรรมการได้กรรมการ
มีความเป็นไปได้สูงว่า
คณะกรรมการพิจารณาทดลองการเปิดประตูระบายน้ำกรณีเขื่อนปากมูล
จะเปลี่ยนบทบาทและ
อำนาจอำนาจหน้าที่ในฐานะ คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นเรื่องเปิด-ไม่เปิดประตูระบายน้ำ โดยเหตุผลว่า
เพื่อให้ฝ่าย ต่างๆ
ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาร่วมแสดงความเห็น
ดังตัวแบบคณะกรรมการฯ
ที่มีการตั้งเรื่องโดยฝ่ายข้าราชการประจำฝ่าย
ปกครอง
ในขณะที่คณะกรรมการกลางฯ
ได้ใช้เกณฑ์การพิจารณาโดยใช้ฐานบนกระบวนการทางเหตุผล
โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริง
หลักฐานทางวิชาการ
แต่ข้อเสนอกำลังจะนำไปสู่กระบวนการที่ตัดสินโดยปริมาณคน
ซึ่งมีปัญหาทั้งในระดับฐานคิดและการ
ระบุกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย
ดังกรณีกลุ่มผู้เลี้ยงปลากะชังและกลุ่มเกษตรกรผู้ใช้น้ำที่ห่างไกลจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างมาก
ข้ออ้างว่า
ต้องตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เพื่อฟังความคิดเห็นจากกลุ่มคนทั้งหมด
และ ดูเหมือนจะเป็นการ ซื้อเวลา
ที่ได้นำ
ไปสู่การเผชิญหน้าและความรุนแรง
ด้วยกระบวนการที่ไม่อิงบนหลักการของการใช้เหตุผลอีก และที่กล่าวว่า ต้องฟังหน่วย
งานรับผิดชอบก่อนว่าปฏิบัติได้หรือไม่
ก็ไม่รู้ว่าจะตั้งคณะกรรมการกลางฯขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร
เหมือนกับการจัดประชา
พิจารณ์ที่ไม่เคยนำมาสู่การตัดสินใจสักครั้ง
สุดท้าย
ยังมีข้ออ้างว่า
หากเปิดเขื่อนจะเกิดผลกระทบต่อเนื่องไปยังเขื่อนอื่น
ทำให้ไม่มีการพิจารณาว่า
เขื่อนปากมูลกระทบมี
ผลเสียมากกว่าผลดีจริงหรือเปล่า รวมทั้งข้ออ้างที่สะท้อนผ่านปากนายเที่ยง
บรรเทา
อันเป็นเรื่องที่ไม่บังควรนำมาอ้าง
ล้วน
ละเลยกระบวนการใช้เหตุใช้ผลทั้งสิ้น
รัฐบาลนายชวน หลีกภัย และ ฯพณฯ นายบัญญัติ
บรรทัดฐาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้รับผิดชอบตรง จะเลือกพิจารณาบนหลักการแห่งเหตุผล
หรือบนฐานของอุดมการณ์ ความเชื่อ เป็นสิ่งที่คนในสังคมควรร่วมกันพิจารณา
|