บันทึกสถานการณ์
สมัชชาคนจน
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน 1,7
วันที่ 4
กรกฎาคม 2543
ความเคลื่อนไหว
กลุ่มผู้ชุมนุสมัชชาคนจนที่หมู่บ้านแม่มุนมั่นยืน
อ.โขงเจียมวันนี้เมื่อเวลาประมาณ
14.30น. กลุ่ม ชาวบ้านประมาณ 100
คน นำโดย น.ส.สมภาร คืนดี
นางสุดใจ มหาไชย นางปราณี
โนนจันทร์
ได้เดินทางมายื่นหนัง
สือต่อนายรุ่งฤทธิ์
มกรพงษ์ เรื่อง ขอให้สืบสวน
สอบสวน หาข้อเท็จจริง กรณี 1.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ในระหว่างการก่อสร้างเขื่อนปากมูลช่วงปี
2535-2537
มีการระเบิดแก่งหินออกจากบริเวณก่อสรางหัวงานเป็นจำนวน
มาก
และหินจำนวนดังกล่าวได้ถูกนำไปกองไว้บริเวณที่ดินของชาวบ้านหมู่บ้านหัวเห่ว
หมู่11 ต.โขงเจียมจ.อุบลฯ
ซึ่งมีระยะทางห่างจากตัวเขื่อนปากมูลประมาณ
2 ก.ม.
ภายหลังการก่อสร้างได้มีการขนหินรออกไปเป็ฌนระยะ
ๆ จน กระทั่งปัจจุบัน
และว่า
ชาวบ้านเคยมีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหนแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด
พร้อมกันนี้ 25.
โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำมูนบริเวรบ้านท่าแพ
อ.โขงเจียม
ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข
2134 มีควางยาว 560 เมตร
และเริ่มก่อสร้างเมื่อ 20
เมษายน 2543
ดำเนินการโดยศูนย์สร้างและบุรณสะพานที่
2 สำนัก งานก่อสร้างสะพาน
กรมทางหลวง
หนังสือระบุด้วยว่า
โครงการดังกล่าวไม่เคยมีการประชาสัมพันธ์หรือสอบถาม
ความ
เห็นจากประชาชนในพื้นที่
ว่ามีความจำเป็นเช่นไร
และความโปร่งใสในตัวโครงการ
เช่น งบประมาณการก่อสร้าง
มูลค่าโครงการ
ผู้รับเหมาโครงการเป็นใคร
และปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมที่มีต่อชุมชนเป็นอย่างไร
ก็ไม่
มีการเปิดเผยใดๆทั้งสิ้น
นอกจากนี้สมัชชาคนจนยังได้เรียกร้องให้มีการสืบสวน
สอบสวน
ข้อเท็จจริงในโครงการต่างๆนี้
เพื่อมิให้โครงการ
ของรัฐกลายเป้นดครงการเพียงเพื่อทำผลงานและรายได้ให้กับ
หน่วยงานและผู้รับเหมาโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม
กับภาวะสังคม
และผู้ชุมนุมยังได้เรียกร้องวให้มีกระบวนการสืบสวนสอบสวน
รวมทั้งการบำรุงรักษาส่งเสริมและคุ้ม
ครองทรัพยากรธรรมชาติ
ควรให้ชุมชน
หรือประชาชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการดังกล่าวทุกขั้นตอน
ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา
56 ด้วย อย่างไรก็ตาม
ผู้ชุมนุมยังได้เพิ่มข้อเรียกร้องในกรณีดังกล่าวด้วยว่า
ระหว่างที่มีการสืบสวน
สอบสวน หาข้อเท็จจริง
ต้องให้มีการยุติการดำเนินการทั้งสองกรณีไว้ก่อน
และเรียกร้องให้
ผู้ว่าราชการจังหวัดดินทางมาดูข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีด้วยตัวเอง
เอาความโปร่งใสและรวดเร็ว
ในวันที่ 6 กรกฎาคม
นี้อีกด้วย
กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มตั้งขบวนที่หน้าศาลากลางจังหวัด
ก่อนจะเดินเข้ามา
มีป้ายผ้าเขียนข้อความว่า"ระเบิดแก่งทำเขื่อน
ขโมยหินทำสะพาน
แม่มูนถูกทำลาย ใครฉิบหาย...ใครรวย?"
ขึงไว้หน้าขบวนด้วย
ซึ่งนอกจากนี้ยังมี
แผ่นโปสเตอร์
ภาพการระเบิดแก่งเมื่อตอนสร้างเขื่อน
และภาพรถบรรทุกกำลังขนหิน
ภาพการก่อสร้างสะพานที่ล้ำแม่น้ำมูนเข้ามาชู
ขึ้นแสดงต่อสื่อมวลชนด้วย
อย่างไรก็ตาม
ทางเจ้าหน้าที่ประจำศาลากลางได้แจ้งต่อผู้ชุมนุมว่า
ผู้ว่าราชการจังหวัดติด
ภารกิจที่สำนังกงานขนส่งจังหวัดจึงไม่สามารถเดินทางมารับ
หนังสือได้
มอบหมายให้ นายธรธรรณ์
ชินโกมุท
เจ้าหน้าที่ป้องกันจังหวัดลงมารับหนังสือแทน
และตัวแทนผู้ว่าฯเปิดเผยว่า
ตนรับปากจะนำหนังสือมอบให้ผู้ว่า
และ
สำหรับเวลาที่ผู้ชุมนุมนัดหมายให้ไปดูพื้นที่นั้น
ตนยังไม่สามารถให้คำตอบได้ต้องเรียนถามเจ้าของผู้รับร้องเรียน
เสียก่อน
ป้องกันจังหวัดกล่าว
ซึ่งในส่วนของชาวบ้านเมื่อทราบว่าผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ได้มา
ก็ไม่ได้กล่าวว่ากระไร
เพียงแต่มอบหมายให้
นางปราณี โนนจันทร์
เป็รนผู้อ่านหนังวสือ
แถลงต่อหน้าสื่อมวลชน
และมอบผ่านนาย ธรธรรณ์
ก่อนจะร่วมกันร้องเพลงมาร์ชสมัชชาคนจน
3 จบ แล้วกลับออกไป
เพื่อเดินทางไปที่
สภาทนายความ ภาค 3 ต่อไป
ที่สำนักงานกรรมการบริหาร
สภาทนายความภาค 3 เลขที่
81-83 ถนนศรีณรงค์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
ซึ่งเป็นสำนัก
งานทนายความชัช วงศ์สิงห์
และเป็นสำนักงานประสานงานของสภาฯด้วย
เมื่อเวลาประมาณ 16.00น.
นายชัช วงศ์สิงห์
กรรมการบริหารสภาฯ ภาค
3 นายสุริยา หลักเขต
กรรมการทนายความภาค 3 สนง.กฏหมายธรรมชาติ
และ นายเทวินทร์ พิมพ์งาม
กรรมการสภานภาค 3
ออกมารับหนังสือจากชาวบ้านกลุ่มสมัชชาคนจนกลุ่มเดิม
เรื่อง กรณี
การระเบิดแก่งและการขนหินอุทยานแห่งชาติ
โดยหนังสือระบุว่า
ขอให้มีการตรวจสอบการกระทำของ
กฟผ. และ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งบุคคลต่างๆที่มีส่วนร่วมในการกระทำดังกล่าว
ว่ามีความผิดตามกฏหมายรับธรรมนูญ
พ.ศ. 2540
อย่างไรหรือไม่รวมทั้ง ขอให้ทางสภาทนายความได้ให้คำแนะนำกับชาวบ้านในฐานะองค์กรและประชาชนว่าจะ
ดำเนินการ
ปกป้องทรัพย์สินของชาตินี้ต่อไปอย่างไร
หนังสือฉบับดังกล่าว
ระบุอีกว่า
จากการสร้างเขื่อนปากมูล
บริเวรบ้านหัวเห่ว อ.โขงเจียม
จ.อบุลราชธานี
และได้มีการ
ระเบิดแก่งซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ
โดยอ้าางว่าเพื่อทำการเปิดทางระบายน้ำท้ายเขื่อน
ซึ่ง
ชาวบ้านได้รวมตัวกันคัดค้านมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มแรกแล้วนั้น
และว่าในเบื้องต้น
กฟผ.
เคยบอกด้วยวาจากับชาวบ้าน
ว่าหินที่ระเบิดขึ้นมาเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติของผู้ใด
แต่เมื่อภายหลังการสร้างเขื่อนกลับมีการนำหินออกไปจากบริเวณดัง
กล่าวโดยไม่มีใคร
รู้ว่าใครเป็นเจ้าของหรือใครเป็นผู้อนุญาตให้ขนออกไป
นางปราณี
โนนจันทร์
แกนนำชาวบ้านกล่าวว่า
ในกรณี การสร้างสะพานนี้
ตนสงสัยว่าทำไมต้องมีการสร้างเพิ่มขึ้น
มาอีก
เนื่องจากเรามีสะพานที่อยู่ใกล้เคียงแล้วหนึ่งอันนั่นคือ
ที่เขื่อนปากมูล
เพราะในโครงการสร้างเขื่อนนี้ก็เพื่อ
การคมนาคมของประชาชนที่จะเดินทางข้ามแม่น้ำ
ไม่ต้องออ้มไปไกล
สามารถย่นระยะทางได้ด้วย
อีกทั้งยังกล่าวว่า
การสร้าสร้างสะพานจะมีผลกระทบต่อพันธุ์ปลาที่จะเดินทางขึ้นมาวางไข่แน่นอน
เนื่องจากขณะนี้
สมัชชาคนจน
กำลังเรียกร้องให้มีการเปิดประตูระบายน้ำเพื่อให้ปลาขึ้นมาวางไข่
แต่การสร้างสะพานที่ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่
ซึ่งไม่ น้อยกว่า 3 ปี แน่นอน
อีกทั้งการก่อสร้างก็ไม่มีความโปร่งใส
ใครได้ประโยชน์
และว่าตนสงสัยว่าหากสะพานสร้าง
เสร็จก็จะมีการปิดสันเขื่อน
ซึ่งก็เท่ากับเป็นการทำผิดวัตถุประสงค์ของเขื่อน
นางสุดใจ มหาไชย
แกนนำปากมูลอีกคนหนึ่ง
ได้แสดงความคิดเห็นกรณีการขนหินของ
กฟผ.ในเวลานี้ว่า
แก่งหินที่ ถูกระเบิดนี้
เมื่อก่อนเป็นบ้านเป็นเมืองหลวงของปลา
กฟผ. ทำผิดกฏหมายชัดเจน
เพราะมันอยู่ในเขตอุทยานฯ
หิน เป็นล้านๆ
ตันยังระเบิดออกไปได้ซึ่งเราในฐานะประชาชนท้องถิ่นย่อมมีสิทธิที่จะดูแลรักษา
ปกป้องทรัพยากร ของ ชาติ
แล้วการทำกันทุกวัน "ดิฉันขอฝากผ่านสื่อมวลชนนะคะว่าถามจริงๆใครได้ประโยชน์กันแน่ประชาชนหรือ
กฟผ. หรือ นายทุน"
นางสุดใจกล่าวในที่ สุด
นายชัช
วงศ์สิงห์
กล่าวภายหลังรับหนังสือจากกลุ่มสมัชชาคนจน
แล้วว่า
เรื่องการลงไปดูพื้นที่
ตนขอปรึกษากันก่อน
แล้วเรื่องหนังสือฉบับนี้
ตนจะนำเสนอสภาต่อไป
ต่อข้อถามที่ว่า
ทางด้านสภาทนายความจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
นั้น นายชัช
ตอบว่าในเบื้องต้น
ขอดูรายละเอียดก่อน
แต่ก็ขอให้ชาวบ้านสบายใจได้
เนื่องจากขณะนี้
สภาทนาย
ความมีบทบาทหน้าที่
ภารกิจตามพระราชบัญญัติสภาทนายความฉบับที่28
มาตราที่ 7 ระบุว่า
เป็นหน้าที่ของทนาย
ความที่เป็นสมาชิกที่ต้องให้การศึกษา
ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ในแง่ด้านกฏหมาย
ซึ่งจะการคุ้มครองสิทธิและในด้านสิ่งแวดล้อมด้วย
กรรมการบริหารสภาทนายความภาค
3
กล่าวต่ออีกว่าขณะนี้สังคม
เรามีปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเนื่องจากนายทุน
หรือตัวแทนรัฐเองมองมิติสิ่งแวดล้อมในแต่ด้านตัวเลข
แต่ชาวบ้านเรา
มองในอีกด้านหนึ่งคือด้านของคุณค่าที่มีต่อวิถีชีวิตมากกว่า
อย่างกฏหหมายใหม่ที่ออกมาก็จะให้ความสำคัญกับการ
ก่อสร้างโครงการใหญ่ๆนั่นคือต้อง
มองถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
และต้องมีการทำประชาพิจารณ์
สำรวจความคิด
เห็นทำการศึกษา
ไม่ว่าาจะเป็น
ด้านวัฒนธรรม
ด้านชุมชนสังคมต่างๆให้รอบด้านเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้
กฏหมาย
ใหม่ให้โอกาสกับประชาชนมากขึ้น
นายชัชวงศ์สิงห์กล่าว
ความเคลื่อนไหว
ที่ชุมนุมริมสันเขื่อนปากมูลทั้งสองฝั่ง
เมื่อเช้าของวันนี้
เจ้าหน้าที่ กฟผ.อย่างน้อย 3
คน มีชาย 2 คน เป็หญิง 1 คน
ประชุมกันที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในเขตอ.พิบูลฯ
และผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวภายใน
รีสอร์ทผู้หนึ่งว่า
ขณะนี้มีการเตรียมกำลังเพื่อ
เข้าเคลียร์พื้นที่ในลานจอดรถด้าฝั่งทิศตะวันออกแล้ว
ซึ่งนับเป็นความ
เคลื่อนไหวสอดคล้องเป็นอย่างยิ่งต่อการวางจุดกำลังภายในบริเวณสั
นเขื่อน 5 จุด คือจุดที่
1 คือบริเวณป้อมยาม
จุดที่ 2
คือที่บริเวณหลังรั้วไม้ที่ชาวบ้านผู้ชุมนุมสมัชชาคนจนเรียกว่า"หลังกำแพงเบอร์ลิน"
จุดที่ 3
คือตรงข้ามบันไดปลาโจน
จุดที่ 4
คือบริเวณโรงพักไฟ
มุมสันเขื่อนด้านทิสตะวันตก
จุดที่ 5 คือ
บริเวณป้อมยาม
ทางเข้าฝั่งอำเภอโขงเจียม
ติดกับที่ชุมนุมหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
1
ซึ่งแต่ละจุดนั้นมีการนำเต็นผ้าใบเข้ามากางไว้เรียบร้อยแล้ว
เกิดเหตุสลดใจในที่ชุมนุม
เมื่อเวลาประมาณ 16.45 น.
ที่ในที่ชุมนุมหมุ่บ้านแม่มูนมั่นยืน1
ริมสันเขื่อนปากมูลฝั่งซ้าย
ขณะที่ นายอ่อน ทรทิพย์
อายุ 90 ปี
ชาวบ้านบ้านดอนโด่ ต.โนนกาหลง
อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลฯ
ปัญหาเขื่อนสิรินธร
กำลังนั่งกินข้าวอยู่กับเพื่อนบ้านภายในตูบที่พัก
ได้เกิดอาการชักล้มลงข้างวงข้าว
และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ซึ่งนาย อ่อน
เป็นผู้ที่มีอายุมากอีกคนหนึ่งที่ประสบกับปัญหาเขื่อนสิรินธร
เมื่อ 30 ปี
ก่อนและออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจ่าย
ค่าชดเชยเป็นที่ดินทำกิน
เนื่องจากการสร้างเขื่อนสมัยก่อนเป็นการดำเนินการในยุคสมัยเผด็จการ
ประชาชนไม่มี
สิทธิ์ไม่มีเสียง
และก็ได้ร่วมกับสมัชชาคนจนมาตั้งแต่วันที่
23 มีนาคม 2542 จนถึงปัจจุบัน
และถึงเสียชีวิตลงในที่สุด
และขณะนี้แพทย์กำลังดำเนินการพิสูจน์ศพว่าเกิดจากสาเหตุอะไร
อย่างไรก็ตาม
นายอ่อนนับเป็นผู้ชุมนุมรายที่
6
แล้วที่เสียชีวิตระหว่างรอการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาล
*********************************************************
สมัชชาคนจน
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
ริมสันเขื่อนปากมูล
อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
โทร. 01-9161478
5 กรกฎาคม 2543
เรื่อง
ขอให้สืบสวน สอบสวน
หาข้อเท็จจริง
เรียน
ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี
1.)
สืบเนื่องมาจากการก่อสร้างเขื่อนปากมูล
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯได้ทำการระเบิดแก่งตาดหัวภู
แก่งคันเห่วและแก่งหิน
บริเวณหัวงานเขื่อนออกเป็นจำนวนมาก
ในช่วงการก่อสร้างเขื่อน
(2535-2537)
หินจำนวนดังกล่าวได้ถูกนำไปกอง
ไว้บริเวณที่ดินของหมู่บ้านหัวเห่ว
ภายหลังจากการก่อสร้างเขื่อนเสร็จสิ้น
ได้มีการขนหินโดยรถบรรทุกสิบล้อ
ออก
ไปจากบริเวณบ้านหัวเห่วเป็นระยะๆ
จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
สมัชชาคนจนในฐานะองค์กรสิ่งแวดล้อมและชาวบ้าน
หัวเห่วได้มีการร้องเรียนไปยังหน่ว
ย
งานที่เกี่ยวข้องหลายครั้งหลายหน
แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด
จึงใคร่ขอให้
มีการสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใสว่าปริมาณหินดังกล่าวใครหรือหน่วย
งานใดควรจะเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงและ
การขนหินออกไปขายให้กับนายทุนรับเหมาก่อ
สร้าง
ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์
จากความเข้าใจของประชาชนทั่วไปหิน
ที่ระเบิดออกจากอุทยานแห่งชาติควรจะเป็นสมบัติ
ของชาติ อีกทั้งชาวประมงผู้เคยใช้ประโยชน์จากแก่งหินในการหา
ปลา
ก็ไม่เคยได้รับผลประโยชน์ชดเชยจากความสูญเสียดังกล่าว
2.)
โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำมูลบริเวณบ้านท่าแพ
อ.โขงเจียม ทางหลวงแผ่นดิน
หมายเลข 2134 ความยาว 560 เมตร
เริ่มก่อสร้างเมื่อ 20
เมษายน 2543
ดำเนินการโดยศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่
2 สำนักงานก่อสร้าง สะพาน
กรมทางหลวง
โครงการดังกล่าว
ไม่เคยมีการประชาสัมพันธ์
หรือสอบถามความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ว่า
มีความจำเป็นเช่นไร
เนื่องมาจากว่ามีสันเขื่อนปากมูลที่เป็นสะพานข้ามแม่น้ำมูลอยู่แล้วในบริเวณใกล้
ๆ สมัชชาคน
จนมีความเห็นว่า
การก่อสร้างสะพานขนาดใหญ่ควรมีการชี้แจงโครงการอย่างโปร่งใส
เช่น ความจำเป็นในการก่อ
สร้าง มูลค่าโครงการ
ผู้รับเหมาโครงการคือใคร
ปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
ที่มีต่อชุมชน
ดังนั้น
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมขึ้นอีกในอนาคต
จึงควรมีการ
ศึกษาให้รอบด้าน
โดยเฉพาะการคำนึงถึงความคุ้มค่าของโครงการ
ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและอาชีพประมง
3.)
สมัชชาคนจนจึงขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดได้สืบสวน
สอบสวน
หาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวข้างต้น
เพื่อมิ ให้โครงการต่างๆ
ของรัฐกลายเป็นโครงการเพียงเพื่อทำผลงานและรายได้ให้กับหน่วยงานและผู้รับเหมาโดย
ไม่คำนึง
ถึงความเหมาะสมกับภาวะสังคม
เศรษฐกิจ
สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
ส่วนการขนหินควรจะดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่
กระทำผิดกฎหมาย
ยักยอกเอาสมบัติของชาติไปเป็นสมบัติส่วนตัว
โดยไม่เลือกว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือเป็นหน่วย
ราชการที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป
4.)
กระบวนการสืบสวน สอบสวน
หาข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว
รวมทั้งการจัดการ
การบำรุงรักษา
ส่งเสริมและคุ้ม
ครองทรัพยากรธรรมชาติ
ควรให้ชุมชน
หรือประชาชนในท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการดังกล่าวทุกขั้น
ตอน
ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
มาตรา 56
5.)
ระหว่างการสืบสวน
สอบสวนหาข้อเท็จจริง
และกระบวนการตามข้อง 3,4
ให้ยุติการดำเนินการทั้งสองกรณีดัง
กล่าวไว้ก่อน
6.)
เพื่อให้การแก้ไขปัญหา
เป็นไปด้วยความโปร่งใสและรวดเร็ว
จึงขอเรียนเชิญท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเดินทางมา
ดูข้อเท็จจริงทั้งสองกรณี
ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2543
ทั้งที่บ้านหัวเห่ว
และบ้านท่าแพ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
จึงเรียนมาเพื่อทราบและโปรดเร่งดำเนินการ
แก้ไขปัญหา
ขอแสดงความนับถือ
(นางสุดใจ
มหาไชย) (นางเริญ กองสุข)
(นางสัมฤทธิ์ เวียงจันทร์)
ตัวแทนสมัชชาคนจน
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
********************************************************************
สมัชชาคนจน
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
ริมสันเขื่อนปากมูล
อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี 34220
โทร. 01-9161478
5 กรกฎาคม 2543
เรื่อง
กรณีระเบิดแก่งและการขนหินของอุทยานแห่งชาติ
เรียน
ประธานสภาทนายความจังหวัดอุบลราชธานี
จากการสร้างเขื่อนปากมูล
บริเวณบ้านหัวเห่ว อ.โขงเจียม
จ.อุบลราชธานี กฟผ.ได้ทำการระเบิดแก่งหินซึ่งเป็นพื้นที่
ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ
โดยอ้างว่าเพื่อเปิดทางระบายน้ำท้ายเขื่อนปากมูล
ซึ่งชาวบ้านได้ร่วมกันคัดค้าน
การระเบิดแแก่งหินในบริเวณดังกล่าวมาตั้งแต่เริ่มแรก
แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครที่จะเอาผิดกับ
กฟผ.ได้
และหินที่ระเบิดขึ้น
จำนวนมากได้ถูกน้ำไปกองไว้บริเวณบ้านหัวเห่วโดย
ในเบื้องต้น กฟผ.
ได้บอกด้วยวาจากับชาวบ้านว่าหินที่ระเบิดขึ้น
เหล่านี้จะไม่ใช่สมบัติของผู้ใด
แต่ภายหลังการสร้างเขื่อนหิน ได้มีการนำหินออกไปจากบริเวณดังกล่าวเป็นระยะ
ๆ
โดยไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นเจ้าของและใครเป็นผู้อนุญาตให้ขนออกไป
ดังนั้น
จึงเรียนมายังท่านเพื่อตรวจสอบการกระทำของกฟผ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งกลุ่มบุคคลต่างๆ
ที่มี
ส่วนร่วมในการกระทำดังกล่าว
ว่ามีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ
อุทยานแห่งชาติและกฎหมายฉบับอื่น
ๆ รวมทั้งกฎ
หมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ 2540
อย่างไรหรือไม่
และช่วยให้คำแนะนำกับชาวบ้านในฐานะองค์กรและประชาชนว่าจะ
ดำเนินการปกป้องทรัพย์สิน
ของชาตินี้ต่อไปอย่างไร
จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการ
ขอแสดงความนับถือ
(นางสุดใจ
มหาไชย) (นางเริญ กองสุข) (นางสัมฤทธิ์
เวียงจันทร์)
ตัวแทนสมัชชาคนจน
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
|