เอกสารหมายเลข ๒
ข้อพิจารณาในการแก้ไขกรณี
๑๖ ปัญหาสมัชชาคนจน
ความนำ
ปัญหา
ข้อเรียกร้อง
และข้อเสนอพิจารณาในการแก้ไขนี้
มีข้อร้องเรียนทั้งหมด ๑๖
กรณี แบ่งได้เป็น ๒
กลุ่มคือ กลุ่มปัญหาเขื่อน
และกลุ่มปัญหา ป่าไม้- ที่ดิน
๑.กลุ่มปัญหาเขื่อน แบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ
๑.๑ กรณีเขื่อนที่สร้างแล้ว มีจำนวน ๕ เขื่อน
ข้อเรียกร้องโดยรวม คือ ค่าชดเชยพื้นที่น้ำท่วมซึ่งได้เคยมีการ
อนุมัติในหลักการ
โดยมติครม.ที่ผ่านมาแล้ว
และค่าชดเชยจากการสูญเสียฐานทรัพยากรของชุมชน
ป่าบุ่ง-ป่าทาม การทำประมง
ลุ่มน้ำ ข้อเรียกร้องให้เปิดประตูระบาย
น้ำเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์ลุ่มน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการ
สร้างเขื่อน
และข้อเรียกร้อง
ระงับการใช้เขื่อนพร้อมกับให้มีการศึกษาผลกระทบทางด้าน
สิ่งแวดล้อม
และทางสังคมหลังโครงการ (Post
Project EIA,SIA) เพื่อ
ประเมินความคุ้มค่าในการเปิดใช้เขื่อนต่อไป
๑.๒
กรณีเขื่อนที่ยังไม่สร้าง
มีจำนวน ๓ เขื่อน
ข้อเรียกร้องโดยรวมคือ
ให้ระงับการดำเนินการโครงการทั้ง
หมดและศึกษาผล
กระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม (EIA,SIA)
เพื่อประเมินความคุ้มค่าของโครงการโดยรวมต้นทุนทาง
สิ่งแวด
ล้อมและสังคมที่ได้จากการศึกษาด้วย
มีข้อเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร และยุติการโฆษณาชวนเชื่อ
๒.กลุ่มปัญหาป่าไม้-ที่ดิน
กลุ่มปัญหาป่าไม้-ที่ดิน
มีจำนวนทั้งหมด ๘ กรณี
แบ่งได้เป็น ๓ ประเภทคือ
๒.๑ กรณีปัญหาป่าสงวนฯ
และป่าอนุรักษ์ทับที่ทำกิน
มีจำนวน ๔ กรณี เป็น
ปัญหาทีชาวบ้านร้องเรียนว่า
การ ประกาศป่าสงวน
แห่งชาติและอุทยานแห่งชาติ
ทับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย
ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีความสืบเนื่องยาวนานมาหลาย
รัฐบาล เคยมีมติครม.เดิมที่ให้มีกระบวน
การพิสูจน์สิทธิ์
การครอบครองและการใช้ประโยชน์
โดยมีคณะกรรมการร่วมระหว่างเจ้า
หน้าที่ป่าไม้
ตัวแทนชาวบ้าน นักวิชาการ/องค์กรพัฒนา
เอกชน แต่กระบวนการดังกล่าวได้ยุติลงเมื่อมีมติครม.
๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑
๒.๒
กรณีดินที่สาธารณประโยชน์
มีจำนวน ๒ กรณี
ปัญหาและข้อเรียกร้องคือ
ชาวบ้านเข้าไปอยู่อาศัยและ
ทำกินในที่ดิน
สาธารณประโยชน์
และต้องการให้ดำเนินการเพิกถอนสภาพ
๒.๓
กรณีปัญหาโครงการพัฒนาของรัฐ
มีจำนวน ๑ กรณี คือ
ปัญหาโครงการ
พัฒนาด่านช่องเม็ก ปัญหาหา
และข้อเรียกร้องคือ
ชาวบ้านขออาศัยและทำกินอยู่ในที่เดิม
และกันพื้นที่การครอบครอง
ใช้ประโยชน์ออกจากพื้นที่โครงการ
(ดูราย ละเอียดปัญหา
ข้อเรียกร้องในเอก
สารประกอบการจัดรับฟังข้อมูลโดยสมัชชาคนจน
เสนอต่อคณะกรรมการกลางเพื่อแก้ไข
ปัญหา สมัชชาคนจน, ๑๔
มิถุนายน ๒๕๔๓)
คณะกรรมการกลางฯ
มอบให้คณะทำงานเพื่อสรุปสาเหตุ
วินิจฉัย
และเสนอแนวทางแก้ไข รวบรวมข้อมูล
ความเห็นต่อกรณี
ปัญหาตามข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจนจากเอกสารของสมัชชาคนจน
การจัดเวทีรับฟังข้อมูลจากตัวแทน
หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
และตัวแทนชาว
บ้านสมัชชาคนจน
ในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๓
และข้อเสนอจากคณะทำงานฯ
ได้
เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการกลางแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน
เพื่อพิจารณาข้อเสนอแนะแก้ไขทั้ง
๑๖ กรณีปัญหาของสมัชชา คนจน
การพิจารณาเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาแบ่งเป็น
๒ ส่วนคือ ๑.การพิจารณาปัญหาเร่งด่วนที่มีการเผชิญหน้า
การจับชาวบ้าน ฯลฯ และ ๒.การเสนอแนวทางแก้ไขตามข้อเรียกร้อง และคณะกรรมการกลางฯ
มีข้อสรุปดังต่อไปนี้
ปัญหาเร่งด่วน
คณะกรรมการกลางเห็นว่า
เพื่อลดปัญหาการเผชิญหน้าและสร้างบรรยากาศที่ดีในการแก้ไขปัญหา
มีกรณีปัญหาเร่งด่วน
ซึ่งรัฐบาลควรสั่งการให้มีการยุติการจับกุมชาวบ้าน
หรือผู้นำในการชุมนุม
หรือให้ยุติการกระทำใดๆ
ของทั้ง ๒
ฝ่ายอันเป็นการยั่วยุ
อันที่จะก่อให้เกิดบรรยากาศไม่สร้างสรรค์
ได้แก่
๑.กลุ่มเขื่อน ได้แก่
กรณีเขื่อนโป่งขุนเพชร
ฝายราษีไศล ฝายหัวนา
เขื่อนลำคันฉู
๒.กรณีกลุ่มปัญหาป่าไม้-ที่ดิน
ได้แก่ ปัญหาการจับกุม
ดำเนินคดีชาวบ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่มีความไม่ชัดเจนในด้าน
กฎหมาย เช่น ปัญหาอุทยานฯ
ป่าสงวนฯ
ทับที่ทำกินและที่อยู่อาศัย
โครงการปฏิรูปที่ดินซ้อนทับสิทธิในการถือครองเดิม
ฯลฯ
ซึ่งควรได้รับอนุเคราะห์จาก
ฯพณฯ
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ให้สั่งการเพื่อยุติการจับกุมชาวบ้าน
ในกรณีต่อไปนี้
-กรณีปัญหาป่าสงวนแห่งชาติดงภูโหล่น
-กรณีปัญหาป่าสงวนแห่งชาติป่าหลังภู
-กรณีปัญหาป่าสงวนแห่งชาติป่าดงหินกอง
และอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ
-กรณีปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์บ้านตุงลุงและบ้านวังใหม่
การเสนอแนวทางแก้ไขตามข้อเรียกร้อง
การพิจารณาปัญหา
การเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาตามข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจน
กรณีปัญหาต่างๆ
มีดังต่อไปนี้
๑.กรณีกลุ่มเขื่อนที่สร้างแล้ว
๑.๑ เขื่อนปากมูล
ข้อเรียกร้อง
๑.เปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูลทั้ง
8
บานเต็มที่อย่างถาวรเพื่อให้ปลาขึ้นวางไข่
๒.ฟื้นฟูระบบนิเวศน์และแก่งต่าง
ๆ ในแม่น้ำมูล
๓.ฟื้นฟูวิถีชีวิตและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนปากมูล
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
๑. ประเด็นด้านประมง
ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลทางด้านการประมง
ข้อมูลจากสมัชชาคนจน
และการศึกษาด้านผลกระทบ
ทางเศรษฐกิจและสังคม
ได้เสนอว่า รายได้จากการ
ทำประมงลดลง
และพบว่า
ชาวประมงบริเวณเหนือเขื่อนมีรายได้ลดลง
ขณะเดียวกัน กฟผ.
อ้างถึงข้อมูล
สถิติของกรมประมงที่ปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำ
ในจังหวัดอุบลราชธานีในภาพรวมเพิ่มขึ้นแต่ไม่มีข้อมูลโดยตรง
บริเวณเขื่อน
อย่างไรก็ตาม
จากเหตุผลทางวิชาการเชื่อได้ว่า
การสร้างเขื่อนปากมูลมีผลกระทบในระดับหนึ่งต่อประชากรสัตว์น้ำ
ระบบนิเวศน์ และการทำประมง
เหนือเขื่อน
เนื่องจากไปขัดขวางการอพยพของสัตว์น้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ช่วงน้ำหลากที่เป็นระยะเวลาการ
แพร่พันธุ์วางไข่
สำหรับมาตรการที่ดำเนิน
การเกี่ยวกับการสร้างบันไดปลาโจนนั้น
คณะกรรมการกลางฯ
มีความเห็นว่า เป็นการลด
ผลกระทบได้ระดับหนึ่ง
แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
อนึ่ง
แนวคิดเรื่องการเก็บข้อมูลพื้นฐาน
(baseline data)
ในเรื่องประมงและประชากรสัตว์น้ำนั้น
บางส่วนเห็นว่าควรให้นักวิชา
การด้านประมงที่เป็น กลาง
เริ่มเก็บข้อมูลดังกล่าวโดยทันทีก่อนการเปิดประตูระบายน้ำ
เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลเปรียบเทียบกับ
ข้อมูลภายหลังการเปิดประตูระบายน้ำใน
ช่วง ฤดูฝนของปีถัดไป
ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถเปรียบเทียบผลกระทบ
จากการเปิดประตูระบายน้ำได้อย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม
ข้อมูลจากนักวิชาการประมงพบว่า
ปลาจะอพยพเคลื่อนย้ายตลอดช่วงฤดูฝนตั้งแต่ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือน
สิงหาคมของทุกปี
ซึ่งปลาแต่ละชนิดจะอพยพไม่พร้อมกัน
บางชนิดจะอพยพในช่วงต้นฤดูฝน
บางชนิดจะอพยพในช่วงปลาย
ฤดูฝน
ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำท่า
ปริมาณน้ำฝน ฯลฯ
และมีข้อสังเกตว่าปลาที่อพยพในช่วงปลายฤดูฝนจะเป็นปลาขนาดใหญ่ที่มี
คุณค่าทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้
ยังมีความเห็นว่า
จากข้อมูลด้านการ
ประมงที่มีอยู่ของนักวิชาการและชาวบ้านที่มีอาชีพประมงซึ่งมี
การเก็บข้อมูลมาเป็นระยะเวลานานแล้ว
ทำให้น่าจะมีข้อมูลเพียงพอที่จะทำการ
ติดตามและประเมินผลของการเปิดประตูเขื่อน
ปากมูลได้
๒.
ผลกระทบด้านลบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังการเปิดประตูระบายน้ำ
๒.๑
ประเด็นผลกระทบต่อระบบการจ่ายพลังงานไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งกฟผ.ได้ชี้แจงว่า
แม้ว่าปัจจุบันการหยุดผลิตกระแสไฟฟ้าจากเขื่อนปากมูลจะยังไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคง
ของระบบไฟฟ้า
เพราะมีกำลังไฟฟ้าสำรองมากแต่หากเศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้นในอนาคตอาจมีปัญหาเรื่องความต้องการ
ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
และอาจส่งผลต่อความ
มั่นคงของระบบไฟฟ้า อย่างไรก็ตามจากข้อมูลการผลิตพลังงานไฟฟ้าในปี
2541 พบว่า
มีหลายเดือนที่เขื่อนปากมูลไม่สามารถผลิต
พลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด
(Peak Load) แสดงให้เห็นว่า
ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถรองรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของจังหวัดอุบลราชธานี
และใกล้เคียงได้
และไม่พบว่าในเดือนดังกล่าวมีปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับ
ที่มีสาเหตุมาจากการหยุดผลิตไฟฟ้าของเขื่อนปากมูล
แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ข้อมูลการคาดการณ์การผลิตพลังงานไฟฟ้าในเดือน
กรกฎาคม ตุลาคม ปี 2541
พบว่าเขื่อนปากมูลจ่าย
พลังงานไฟฟ้า
ในช่วงเวลาปกติ 65 % และ
ในช่วง Peak 35 % เท่านั้น
และหากหยุดการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนปากมูล
4 เดือนจะส่งผลกระทบต่อค่า FT
เท่ากับ 0.0061 บาทต่อ KWh
หรือหากหยุดการผลิตพลังงานไฟฟ้าทั้งปี
จะส่งผลกระทบต่อค่า FT
เท่ากับ 0.0038 บาทต่อ KWh
๒.๒
ประเด็นการสูญเสียรายได้จากการผลิตไฟฟ้า
ทางตัวแทนกฟผ.ชี้แจงว่า
หากหยุดการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเขื่อนปากมูลนั้น
ทางกฟผ.จะต้องซื้อกระแสไฟฟ้าจาก
ประเทศลาวหรือต้องซื้อเชื้อเพลิงประเภทอื่นมาผลิตกระแสไฟฟ้า
ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินของการสูญเสียรายได้จากการผลิตกระแส
ไฟฟ้าถึงปีละ ๒๑๒ ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม
คณะกรรมการเชื่อว่าการเปิดประตูระบายน้ำเป็นเวลา
๔ เดือน (พฤษภาคม- สิงหาคม)
จะทำให้ค่าใช้จ่าย
ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง
แต่ผลเสียนี้ก็ควรนำไปเปรียบเทียบกับผลดีในด้านอื่น
ที่จะได้รับจากการเปิดประตู
ระบายน้ำ
๒.๓
ผลกระทบต่อผู้เลี้ยงปลาในกะชัง
ทางตัวแทนกฟผ.มองว่าระดับน้ำหลังการเปิดประตูระบายน้ำจะลดลงถึง
๑๐ เมตร (๙๔ ม.รทก.)
ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อ
กลุ่มที่อยู่เหนือเขื่อน
เช่น ผู้เลี้ยงปลาในกระชัง แต่จากการสำรวจพบว่าผู้เลี้ยงปลากะชังส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่อ่างเก็บน้ำของ
เขื่อนปากมูลโดยส่วนใหญ่อยู่เหนือแก่ง
สะพือขึ้นไปจนถึงจ.อุบลราชธานี
ซึ่งพบว่ามีอยู่ประมาณ ๒๐๐
รายหรือประมาณ ๑,๐๐๐ กระชัง
โดยการเลี้ยงปลาดังกล่าวเป็นการเลี้ยงปลาทับทิมและปลานิล
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเจริญโภคภัณฑ์และกรม
ประมง
ดังนั้นการเปิดประตูระบายน้ำจึงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงปลาในกะชังในบริเวณดังกล่าว
ส่วนในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนปากมูล
มีผู้เลี้ยงปลาในกะชัง ๑๒
ราย
แต่เนื่องจากการเลี้ยงปลาในกะชัง
เป็นการเลี้ยง
แบบแพที่สามารถขึ้นลงตามระดับน้ำได้
และเลี้ยงตรงบริเวณน้ำลึกหรือวังน้ำ
จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้เลี้ยงปลาใน
กะชัง
และเกาะแก่งธรรมชาติในลำน้ำมูล
จะช่วยไม่ให้ระดับลดต่ำลงจนเป็นอุปสรรคต่อการเลี้ยงปลาในกะชัง
นอกจากนี้
การเปิดประตูระบายน้ำ
อาจจะเกิดผลประโยชน์ด้านบวก
แก่ชาวบ้านผู้เลี้ยงปลาในกะชัง
คือจะช่วยให้เกิด
การระบายน้ำและลดความเป็นมลพิษของน้ำที่เกิดจากการเลี้ยงปลาในกะชัง
๒.๔
ผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ใช้น้ำในพื้นที่ชลประทาน
40,000 ไร่
พื้นที่ชลประทานดังกล่าว
เป็นพื้นที่เพาะปลูกในโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าขนาดเล็ก
ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้
และมี
ลักษณะเป็นสถานีสูบน้ำแบบแพลอย
หากเปิดเขื่อนในช่วงฤดูฝน
จะกระทบต่อเกษตรกรผู้ใช้น้ำไม่มากนักเพราะสถานีสูบน้ำจะ
ขึ้นลงตามระดับน้ำได้
และเกษตรกรยังสามารถใช้น้ำฝนตามธรรมชาติได้
นอกจากนี้
เกาะแก่งตามธรรมชาติในแม่น้ำมูล
ซึ่งมีอยู่ เป็นช่วงๆ
ตลอดแม่น้ำมูลกว่า 50 แก่ง
จะช่วยกักเก็บน้ำได้ระดับ
หนึ่ง
และทำให้ระดับน้ำมีเพียงพอต่อการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคของประชาชน
หากเปิดประตูระบายน้ำคาดว่าจะไม่มีผล
กระทบมากนัก
ข้อเสนอแนะ
๑.
ทดลองเปิดประตูระบายน้ำ ๔
เดือนในช่วงฤดูฝน (ประมาณเดือนพฤษภาคม
- สิงหาคม)
เพื่อให้ปลาสามารถขึ้นไปวางไข่ได้
โดยจะต้องมีระบบการประเมินและส่งเสริมผลกระทบด้านบวกในเรื่องการประมง
เช่น
สภาพการอพยพของปลาในแม่น้ำโขง
ความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์น้ำภายหลังมาตรการเปิดประตูระบายน้ำ
ตลอดจนการฟื้นฟูระบบนิเวศของลำน้ำมูล
โดยมี
การใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อช่วยในการประเมิน โดยให้มีคณะทำงานด้านประมงที่เป็นกลางเริ่มเก็บข้อมูลทันที
ก่อนการ เปิดประตูระบายน้ำ
เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูล (Baseline
Data)
เปรียบเทียบหลังการเปิดประตูระบายน้ำในช่วงฤดูฝนของปีถัดไป
ได้อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันต้องมีการติดตามและบรรเทาผลกระทบด้านลบ เช่น การพิจารณาระดับน้ำในแม่น้ำมูลหลังการ
เปิดประตูระบายน้ำ
ที่จะไม่กระทบต่อกลุ่มผู้เลี้ยงปลาในกระชัง
หรือสภาพพื้นที่เพาะปลูกจากสถานีสูบน้ำ
ขั้นตอนและวิธีการ เปิด
ประตูระบายน้ำ
ที่ไม่ส่งผลต่อการเลื่อนตัวของดินชายฝั่ง
ตลอดจนคำนึงถึงผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต
และรายได้จากการผลิต
ไฟฟ้าของเขื่อนปากมูล
๒.
จัดตั้งคณะกรรมการทดลองเปิดประตูระบายน้ำกรณีเขื่อนปากมูล
โดยมีองค์ประกอบที่เป็นพหุภาคีได้แก่
ตัวแทนกฟผ. ตัวแทน
สมัชชาคนจน
ตัวแทนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบด้านลบจากมาตรการเปิดประตูระบายน้ำ ตัวแทนนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยใน
ท้องถิ่นอันประกอบด้วย
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านประมง
ด้านวิศวกรรมและด้านสังคม
ตัวแทนส่วนราชการอันได้แก่
ผู้ว่าราชการจังหวัด
หรือผู้แทน
โดยให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นดังกล่าวเป็นประธาน
เนื่องจากมีความเป็นอิสระและสอดคล้องกับภารกิจของ
คณะกรรมการชุดนี้
ซึ่งเป็นการพิจารณาปัญหาด้านเทคนิควิชาการและกระบวนการปฏิบัติการ
โดยอาศัยข้อมูลข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ไม่
ควรมีจำนวนกรรมการเกิน ๑๐
คน โดยมีระยะเวลาในการทำงานประมาณ
๑ ปี ส่วนในระยะยาวควรจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำ
ขึ้นมา
เพื่อพิจารณาตัดสินใจในการรักษาดูแลและใช้ประโยชน์จากลำน้ำ
(รายละเอียดตามเอกสารหมายเลข
๔)
๓.
ขอบเขตการทำงานของคณะกรรมการทดลองเปิดประตูระบายน้ำกรณีเขื่อนปากมูล
ให้อยู่ภายใต้มติตามข้อ ๑
ได้แก่ การยอม
รับมาตรการทดลองเปิดประตูระบายน้ำ
โดยทำหน้าที่พิจารณาขั้นตอนและวิธีการเปิดประตูระบายน้ำ
โดยคำนึงถึงผลกระทบจาก
มาตรการดังกล่าว
รวมทั้งเสนอแนะมาตรการสนับสนุนผลกระทบด้านบวกและบรรเทาผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้น
คณะกรรม
การชุดนี้ควรมีอำนาจให้
กฟผ.ให้ความร่วมมือในการเปิดประตูระบายน้ำ
รวมทั้งความร่วมมือจากหน่วยราชการ
รัฐวิสาหกิจ หรือ
หน่วยงานของรัฐอื่นๆเพื่อรองรับการศึกษา
ติดตามและประเมินผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว
โดยรัฐบาลควรจัดสรรงบ
ประมาณสนับสนุนเป็นการเฉพาะให้กับคณะกรรมการชุดนี้
และให้รายงานโดยตรงต่อคณะรัฐมนตรี
หรือต่อรองนายกรัฐมนตรี
ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี
๑.๒ ฝายราษีไศล
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้ยกเลิกการกักเก็บน้ำโดยการเปิดประตูทั้ง
๗ บาน
๒.ให้ประเมินความคุ้มค่าของฝายราษีไศล
โดยให้รวมค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ามา
ประ กอบการคำนวณด้วย
และให้เร่งตรวจสอบการแพร่กระจายของดินเค็มที่เกิดจากการเก็บกักน้ำ
๓.ให้ฟื้นฟูป่าบุ่งป่าทามและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
๔.เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมดให้กับชาวบ้านและสาธารณะ
รวมถึงสัญญาต่าง ๆ ที่มี
เช่น แบบเขื่อน ระบบชล ประทาน ฯลฯ
รวมถึงสัญญาว่าจ้างการก่อสร้าง
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
คณะกรรมการกลางฯ
ได้เปิดรับฟังข้อมูล
และเชิญตัวแทนสถาบันการศึกษาที่กำลังศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม
โดย
มีข้อเท็จจริงสามารถประมวลสรุปได้ดังต่อไปนี้
๑.ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม
ตัวแทนสถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯ
ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมว่า
การประท้วงของสมัชชาคนจน
ทำ
ให้รัฐบาลเห็นชอบให้มีการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมใหม่
โดยสถาบันวิจัยสังคมได้รับทำการประเมินผลกระทบ
ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ไม่รวมเรื่องทางกายภาพ
เช่น ปัญหาดินเค็ม
ปัญหาการประมง
โดยผลการศึกษาเบื้องต้นของสถาบัน
วิจัยฯ พบว่า
ปรากฏการณ์เรื่องดินเค็มเป็นจริงโดยเกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ
โดยก่อนหน้าการสร้างฝายไม่มีปรากฏการณ์
เช่นนี้ แต่ยัง
ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นผลมาจากฝายหรือไม่
นักวิชาการให้ความเห็นว่า
การเปลี่ยนแปลงเรื่องดินเค็มเกิดมาจากการความสมดุล
ของแรงดันของน้ำ
ซึ่งสัมพันธ์กับการใช้ที่ดิน ขณะที่การชี้แจงโดยตัวแทนจากสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
(สผ.) ในประ
เด็นปัญหาเรื่องดินเค็มและน้ำเค็มใต้ดินว่า
ต้องรอผลการศึกษาของกรมพัฒนาที่ดิน
ส่วนน้ำเค็มใต้ดินนั้น
ทางมหาวิทยาลัยขอน
แก่นกำลังทำ Model
ศึกษาโดยทางกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน(พพ.)
เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ อย่างไรก็ตาม ในการสัม
มนาที่จัดโดยคณะกรรมาธิการเกษตรฯ
ได้มีข้อสรุปว่า
พื้นที่ฝายราษีไศลมีแนวโน้มดินเค็ม
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ประโยชน์
อะไรไม่ได้
ประเด็นเรื่องป่าบุ่งป่าทามเป็นแหล่งทรัพยากรของชาวบ้าน
แต่ยังไม่ได้มีการคำนวณเป็นตัวเลข
โดยอาจไม่มีตัวเลขมากหากคิด
ในระบบเศรษฐกิจหลัก
แต่หากชาวบ้านต้องไปซื้อเองจะคิดเป็นมูลค่าสูงมาก
ส่วนนัยทางเศรษฐกิจของพื้นที่ทามเพิ่มขึ้นเนื่อง
จากเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์
ทำให้ประเด็นเรื่องค่าชดเชยกลายเป็นประเด็นสำคัญขึ้นมา
ส่วนประเด็นเรื่องผลกระทบจากการทำคันดินขอบอ่าง
พบว่า
มีปัญหาน้ำเอ่อขังรอบอ่างจากปัญหาคันดินดังกล่าว
แต่ยัง ไม่สามารถแก้ไขได้
แม้จะมีความพยายามโดยการทำระบบท่อสูบน้ำ
๒.ประเด็นประโยชน์ที่ได้รับด้านการชลประทาน
ตัวแทนจากสถาบันวิจัยสังคม
จุฬาฯ ชี้แจงว่า
ยังไม่มีความชัดเจนว่ากลุ่มใดคือกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการ
และกลุ่มที่ต้องการ
ใช้ประโยชน์จากฝายนั้นจะได้ประโยชน์อย่างไร ส่วนข้อเท็จจริงในประเด็นเกี่ยวกับผลประโยชน์จากชลประทาน
ได้ข้อสรุป ร่วมว่า
พื้นที่ชลประทานตามแผนยังไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ
เนื่องจากชาวบ้านไม่ยอมให้ที่ดินในบางช่วงของคลองสายหลัก
และ
คลองซอยทั้งหมดยังไม่มีการก่อสร้าง
อย่างไรก็ดี
ตัวแทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานชี้แจงว่าได้รับประโยชน์จากฝาย ราษีไศลในฤดูแล้ง
โดยเฉพาะจากสถานีสูบ
น้ำเดิมที่มีอยู่ราว
๒๐ แห่ง อย่างไรก็ตาม
จากการวินิจฉัยข้อมูลจากฝ่ายต่างๆ
ได้ข้อสรุปว่าอาจจะได้ประโยชน์บ้างจากสถานีสูบน้ำ
เดิมที่มีอยู่ในพื้นที่
ซึ่งอาจจะทำให้สูบน้ำในฤดูแล้งได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
แต่จะไม่ได้มากนัก
เพราะสถานีสูบน้ำเป็นแบบแพลอย
และ
ตั้งอยู่ในบริเวณน้ำลึกอยู่แล้ว
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
เนื่องจากยังไม่มีกลุ่มผู้รับประโยชน์จากโครงการนี้โดยตรงและมีหลักฐานที่บ่งชี้ถึงผลกระทบในทาง
ลบ
โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องดินเค็มและผลกระทบทางสังคม
ประกอบกับโครงการนี้ไม่ได้มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และผลกระทบทางสังคม
ภายหลังการเคลื่อนไหวเรียกร้องของผู้ได้รับผลกระทบ
จึงได้ให้สถาบันการศึกษาทำการศึกษาผลกระทบ
สิ่งแวดล้อม
(EIA) และผลกระทบทางสังคม (SIA)
เพื่อประเมินความคุ้มค่าของโครงการ
ซึ่งหากพบว่าไม่คุ้ม
ควรให้ยุติการใช้ประ
โยชน์จากโครงการดังกล่าว
โดยดำเนินการดังต่อไปนี้
๑. เปิดประตูระบายน้ำทั้ง
๗ บานไปก่อน
เพื่อบรรเทาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมเฉพาะหน้า และดำเนินการ
พิสูจน์สิทธิการครอบครองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน
๒.
การตัดสินใจในการดำเนินการใดๆของฝายราษีไศลในอนาคต
ให้รอผลการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่กำลังดำเนิน
การอยู่เพื่อประกอบการพิจารณาการใช้ประโยชน์ของฝายราษีไศล
ในระยะยาว โดยให้มีการคิดรวมมูลค่าสิ่งแวดล้อมและสังคม
เข้าเป็นต้นทุนของโครงการ
พร้อมกับพิจารณาระดับเก็บกักน้ำที่เหมาะสมใหม่
โดยกระบวนการพิจารณาต้องตั้งคณะกรรมการ
พหุภาคีที่มีฝ่ายต่างๆ
เข้ามามีส่วนร่วมพิจารณาผลการศึกษาดังกล่าว
ทั้งนี้
มาตรการลดผลกระทบต่างๆจะต้องเป็นที่เข้าใจและยอม
รับของประชาชน
๑.๓
เขื่อนสิรินธร
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้รัฐจัดหาที่ดินทำกินที่สมบูรณ์ให้ครอบครัวละ
๑๕ ไร่
เพื่อเป็นการฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ให้กับชาวบ้านที่ถือว่าเป็นผู้เสีย
สละในการพัฒนา
๒.ให้
กฟผ.
คืนที่ดินบ้านโนนจันทร์เก่าให้กับชาวบ้าน
และให้รัฐดำเนินการออกเอกสารสิทธิให้กับชาวบ้าน
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
๑.มติครม.
๒๒ เมษายน ๒๕๓๙
ยอมรับว่าชาวบ้านกรณีปัญหาเขื่อนสิรินธร
จ.อุบล มีความเดือดร้อนจริง
และได้แต่งตั้งกรรม
การพิสูจน์ข้อเท็จจริง
และจากมติครม. ๒๒ เมษายน
๒๕๓๙
ได้นำไปสู่กาตรวจสอบความเดือดร้อนของชาวบ้าน
โดยคณะกรรม
การระดับอำเภอและระดับจังหวัด
จนถึงคณะกรรมการกลาง
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เป็นประธาน
คณะกรรมการ
ทุกชุดยอมรับผลการดำเนินการตรวจสอบว่า
ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจริงและสมควรให้การช่วยเหลือ
๒.มติครม.
๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๙
มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือโดยการจัดที่ดิน
ให้การสนับสนุน เงินกู้
สนับสนุนด้านสาธารณูปโภค
แต่ไม่สามารถจัดหาที่ดินให้ชาวบ้านได้
๓.มติครม. ๒๙ เมษายน ๒๕๔๐
ให้ชดเชยที่ดินแก่ชาวบ้านครอบครัวละ
๑๕ ไร่ เป็นเงินแทน
โดยให้จ่ายเป็นค่าชดเชยไร่ละ
๓๒,๐๐๐ บาท รัฐบาลจึงได้โอนเงินงบประมาณไว้ที่กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร
สังกัดกระทรวงเกษตร จำนวน ๑,๒๐๐
ล้านบาท
เพื่อจ่ายเป็นค่าชดเชยแทนที่ดิน
แต่รัฐบาลพลเอกชวลิต
ยงใจยุทธได้ลาออกจึงไม่มีการดำเนินการจ่ายเงิน
๔. มติ ครม. ๒๑ เมษายน ๒๕๔๑
ไม่ให้มีการจ่ายค่าชดเชยซ้ำซ้อนย้อนหลัง
สำหรับกรณีเขื่อนที่สร้างไปแล้ว
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
การพิจารณาความเดือดร้อนของชาวบ้านได้ผ่านการดำเนินการมาหลายรัฐบาล
จนได้ข้อยุติว่าชาวบ้านมีความเดือดร้อนจริง
โดยขั้นตอนได้ดำเนินจนถึงขั้นที่มีการจัดหาวงเงินจำนวน
๑,๒๐๐ ล้านบาท
โดยโอนไว้ที่กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร
แต่กระบวนการการจ่ายเงินแก่ชาวบ้านได้ยุติลงเมื่อมีมติคณะรัฐมนตรี
๒๑ เมษายน ๒๕๔๑
ไม่ให้จ่ายค่าชดเชยซ้ำซ้อนย้อนหลังกรณีเขื่อนที่สร้างแล้ว
ดังนั้น
คณะกรรมการกลางมีข้อเสนอแนะว่า
๑.เพื่อเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน
รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้แก่ชาวบ้านเป็นการเฉพาะกรณี
โดยไม่ให้มี
ผลผูกพันกรณีอื่นๆ
๒.กรณีบ้านโนนจันทร์เก่า
ควรดำเนินการตรวจสอบการให้ประโยชน์จากพื้นที่
หากไม่ได้ใช้ประโยชน์แก่กิจการของกฟผ.
ควร
พิจารณาคืนแก่ชาวบ้านตามข้อเรียกร้อง
๑.๔ เขื่อนลำคันฉู
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้มีกรรมการตรวจสอบกรณีเขื่อนร้าวว่าซ่อมแซมแก้ไขให้มั่นคงได้หรือไม่
ถ้าสามารถซ่อมแซมได้ก็ให้ซ่อมแซม
ถ้าไม่
สามารถซ่อมแซมได้ก็ให้รื้อเขื่อนหรือเลิกใช้เขื่อน
๒.ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเขื่อนลำคันฉูสามารถซ่อมแซมให้มั่นคงได้
ให้กรมชลประทานจัดทำคลองส่งน้ำและระบบชลประทานให้
ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ
๓.ในกรณีเขื่อนพัง
รัฐบาลจะต้องให้หลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
โดยรัฐบาลจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เต็ม
ราคาตามความเป็นจริง
๔.ให้รัฐบาล
ฟื้นฟูชีวิตของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน
(การเก็บหาของป่า
จากป่าที่ถูกน้ำท่วมเคยเป็นอาชีพหลัก
ของชาวบ้าน
ทำให้ปัจจุบันขาดรายได้)
เพราะรัฐบาลได้โฆษณาเอาไว้ก่อนการสร้างเขื่อนว่าจะให้วิถีชีวิตของชาวบ้านดีขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดทั้งหมด
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
๑.กรมชลประทานชี้แจงว่า
เขื่อนลำคันฉูสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกด้าน
ท้ายน้ำซึ่งมีฝายอยู่ไม่น้อยกว่า
๒๐ แห่ง
จึงได้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อจัดส่งน้ำตามคำขอโดยกำหนดระยะเวลาการ
ศึกษาไม่เกิน
๑ ปี (พฤษภาคม ๒๕๔๔)
๒.กรณีเขื่อนร้าว
กรมชลประทานชี้แจงว่า
ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยคณะวิศวกรจากสมาคมวิศวกรรมสถานแห่ง
ประเทศไทยฯ
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ
กรมชลประทาน
กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน
และกรมพัฒนาที่ดิน
ในวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ผลการสำรวจพบว่า
เขื่อนลำคันฉูมีความมั่นคงปลอดภัย
แข็งแรงอยู่ในเกณฑ์ดี (หนังสือสำนักนายกรัฐมนตรีที่
นร.๐๑๐๘.๓๓/๑๒๕๒๑ ลงวันที่ ๑๖
พฤษภาคม ๒๕๔๓)
๓.
ตัวแทนสมัชชาคนจนโต้แย้งว่า
การตรวจสอบดังกล่าวมีข้อตกลงว่า
ให้คณะกรรมการร่วมที่มีตัวแทนฝ่ายสมัชชาคนจน
ด้วย
แต่การตรวจสอบครั้งนี้สมัชชาคนจนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม
รวมทั้งไม่ได้เชิญสื่อมวลชนตามที่ตกลงกับนายอำนวย
ปะติเส ในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม
๒๕๔๓
และโต้แย้งวิธีการตรวจสอบว่า
ยังบกพร่อง
ไม่รอบด้านในหลายประการ
เช่น ขณะที่ไปตรวจ
สอบได้มีการอุดและราดยางมะตอยปิดทับเอาไว้
มีโพรง ๓ โพรงไม่ใช่ ๑ โพรง
ตามรายงานการตรวจสอบ ฯลฯ (ตามเอกสาร หมายเลข ๕)
ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา
๑.กรณีเขื่อนร้าว
คณะกรรมการเห็นว่า
เนื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบยังไม่เป็นที่ยอมรับตามข้อตกลงที่เคยมีอยู่เดิม
และข้อมูลทั้ง ๒
ฝ่ายยังขัดแย้งกัน
ไม่สามารถยุติได้ ดังนั้น
เพื่อให้เป็นที่ยุติปัญหา
ควรตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลาง
เป็นที่ยอมรับ
ได้จากทุกฝ่ายลงไปในพื้นที่เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติอีกครั้ง
และให้มีการประกันความเสี่ยงหากเกิดความเสียหายขึ้น
ภายหลัง
๒.
กรณีปัญหาค่าชดเชย ๒ ราย
-กรณีนายสมชัย
สวัสดี
ข้อเท็จจริงเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายว่า
ตามมติครม. ๒๒ เมษายน ๒๕๔๐
ควรได้รับค่าชดเชยไร่ละ ๒๐,๐๐๐
บาท จำนวน ๑๔ ไร่
แต่มีการพิมพ์ตัวเลขตกไปเหลือเพียง
๔ ไร่ คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
การไม่จ่ายค่าชดเชยให้
แก่นายสมชัย
สวัสดี โดยอ้างมติ ครม. ๒๑ เมษายน
๒๔๔๑ ว่าไม่ให้มีการจ่ายค่าชดเชยซ้ำซ้อนย้อนหลัง
ไม่เป็นธรรมแก่ ชาวบ้าน
เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปัญหาในเชิงเทคนิค
รัฐบาลควรเร่งจ่ายค่าชดเชยตามความเดือดร้อนที่ได้ผ่าน
กระบวนการพิสูจน์มาแล้ว
พร้อมทั้งควรจ่ายดอกเบี้ยด้วย
-กรณีนายเชย
จิตต์จำนง
ซึ่งร้องเรียนว่า
ไม่ได้รับค่าชดเชยพื้นที่ที่ทำประโยชน์เป็นที่ใช้เลี้ยงสัตว์
คณะกรรมการกลางเห็นว่า ควร
ดำเนินการพิสูจน์การครอบครองและการทำประโยชน์ที่ให้ฝ่ายชาวบ้านเข้า
มามีส่วนร่วมในกระบวนการพิสูจน์สิทธิ โดยให้ใช้
หลักเกณฑ์ตามมติครม.
๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๒
เป็นแนวทางปฏิบัติ
๓.กรณีคลองส่งน้ำ
ให้รอผลการศึกษาของกรมชลประทานซึ่งกำลังจัดทำแผนคลองส่งน้ำ
และกำหนดจะแล้วเสร็จในเดือน
พฤษภาคม
๒๕๔๔ โดยคณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
ให้เร่งรัดการจัดทำแผนโดยต้องให้ตัวแทนชาวบ้านเข้าไปมีส่วนร่วมในการ
จัดทำแผนดังกล่าว และรัฐบาลต้องจัดหางบประมาณสนับสนุน
๔.ควรจัดให้มีการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมย้อนหลัง
โดยองค์กร/หน่วยงานที่เป็นกลาง
และให้ชาวบ้านหรือตัว
แทนเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดกรอบและกระบวนการศึกษาตลอดทั้งกระบวนการ
โดยการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน
และ หากพบว่า
มีผลกระทบเกิดขึ้นจริง
ต้องมีมาตรการในการฟื้นฟูสภาพวิถีชีวิตและชุมชนให้ชาวบ้านสามารถดำรงชีพได้ใกล้เคียงกับ
สภาพเดิม
หรือใช้แนวทางตามมติครม. ๒๒
เมษายน ๒๕๔๓
๑.๕
เขื่อนห้วยละห้า
ข้อเรียกร้อง
๑.ขอค่าชดเชยที่ดินทำกินที่ถูกน้ำท่วมตามสภาพความเป็นจริง
ซึ่งคณะกรรมการระดับจังหวัดได้ดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์แล้ว
แต่ชาว บ้านร้องเรียนว่า
การพิสูจน์สิทธ์ไม่เป็นธรรม
ที่ดินของตนเองที่ถูกน้ำท่วมไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่จะได้รับค่าชดเชย
๒.ขอค่าความเสียหายซึ่งเป็นค่าเสียโอกาสเนื่องจากไม่ได้ทำนามาตั้งแต่ปี
๒๕๒๐ จนกระทั่งปัจจุบัน
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
มีการตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อพิจารณาเรื่องค่าทดแทนความเสียหาย
โดยการพิสูจน์การถือครองที่ดินแล้ว
แต่ชาวบ้านที่
ร้องเรียนเห็นว่า
กระบวนการการพิสูจน์ไม่เป็นธรรม
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
เพื่อให้เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย
ควรดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์และความเสียหายโดยคณะกรรมการ
ระดับจังหวัด
โดยให้ตั้งตัวแทนสมัชชาคนจนร่วมกระบวนการในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
หากพบว่า
พื้นที่เสียหายก็ดำเนินการจ่าย
ค่าชดเชยตามสภาพที่เป็นจริง
๒.กรณีเขื่อนที่ยังไม่สร้าง
๒.๑
เขื่อนโป่งขุนเพชร
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้รัฐบาล
รอผลการศึกษาข้อมูลฉบับสมบูรณ์
และการจัดประชาพิจารณ์
ของคณะกรรมการศึกษาผลกระทบ
ความเหมาะสมและพิจารณาความเป็นไปได้
ที่ตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี
29 เมษายน 2540
๒.ให้รัฐบาลยุติการดำเนินการใด
ๆ โดยทันที
โดยเฉพาะการโฆษณาชวนเชื่อ
และให้ข้อมูลด้านเดียวของกรมชลประทาน
รวมทั้งการจัดตั้งชาวบ้านอีกกลุ่มมาปะทะกัน
ฯลฯ
๓.ให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องทุกประการ รวมถึงสัญญาต่าง ๆ ที่มี
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
๑.
เขื่อนดังกล่าวมีการลดพื้นที่อ่างจาก
๑๖.๔ ตร.กม.ลงมาเหลือ ๑๔.๖ ตร.กม.
และความจุจาก ๑๑๒
ล้านลูกบาตรเมตร เหลือ ๙๗
ล้านลูกบาตรเมตร ซึ่งไม่อยู่ในเกณฑ์ต้องศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตาม
พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ศ.๒๕๔๓
๒. มติครม. ๒๙ เมษายน ๒๕๔๐
ได้แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดำเนินการตามมติครม.เมื่อวันที่
๒๙ เมษายน ๒๕๔๐
กรณีเขื่อนที่ยังไม่ได้สร้าง
๔ เขื่อน
ปัจจุบันคณะกรรมการชุดดัดงกล่าวนี้
มี รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ
เป็นประธาน
และตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น
๒ ชุด เป็นคณะทำงาน
กรณีเขื่อนโป่งขุนเพชร
รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณจำนวน
๕๐๐,๐๐๐
บาทเพื่อจัดให้มีการรับฟังข้อมูลจากฝ่ายต่างๆ
แต่ไม่มีงบประมาณในการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ข้อเสนอการแก้ปัญหา
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
การดำเนินการโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ควรอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย
เพื่อหลีกเลี่ยงการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
โดยเฉพาะในโครงการที่เจ้าของโครงการเป็นหน่วยราชการของรัฐ และอาจจะเกิดปัญหาตามมาภายหลังเช่นในหลายกรณี ดังนั้น
ควรจะดำเนินการดังนี้
๑.ระงับการดำเนินโครงการใดๆ
๒.ให้คณะกรรมการติดตามการดำเนินการตามมติครม.เมื่อวันที่
๒๙ เมษายน ๒๕๔๐
กรณีเขื่อนที่ยังไม่ได้สร้าง
๔ เขื่อน
ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่
๒๑/๒๕๔๑ ทำการศึกษาด้านความเหมาะสมของโครงการ
และการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม
(EIA,SIA)
เพื่อใช้ประเมินความคุ้มค่า(ผลดี
ผลเสีย)
ของโครงการอย่างละเอียดและรอบด้านในการการตัดสินใจของรัฐบาล
ที่จะดำเนินโครงการต่อไปหรือไม่ทั้งหมด
๓.ให้รัฐบาลสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการ
โดยเร่งจัดหางบประมาณและวัสดุอุปกรณ์
ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานเพื่อให้การดำเนินงานของคณะกรรมการตามข้อ
๑ บรรลุตามวัตถุประสงค์
๔.หลังจากคณะกรรมการได้ทำการศึกษาความคุ้มค่าเสร็จสิ้นตามกระบวนการแล้ว
จึงค่อยให้คณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น
ดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
๕.ให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโครงการฯ
ตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.๒๕๔๐
๒.๒ เขื่อนลำโดมใหญ่
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้รัฐบาลรอการดำเนินการตามผลการศึกษาคณะกรรมการศึกษาผลกระทบ
ความเหมาะสมและพิจารณาความเป็นไปได้
ที่ตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี
29 เมษายน 2540
หากเห็นว่าไม่คุ้มค่าก็ให้ยกเลิกโครงการ
๒.ให้รัฐบาลยุติการดำเนินการใด
ๆ
ที่เป็นการผลักดันโครงการฯ
ในเบื้องต้นให้ระงับการใช้งบประมาณเพื่อการออกแบบรายละเอียดโครงการฯ
ไว้ก่อน จนกว่าคณะกรรมการฯ
จะได้ดำเนินการจัดรับฟังความคิดเห็นให้มีข้อยุติ
๓.เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมดให้กับคณะกรรมการกลางฯ
ชาวบ้าน
และสาธารณรวมถึงสัญญาต่าง
ๆ ที่มี เช่น แบบเขื่อน ระบบชลประทาน
รายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ฯลฯ
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
ขนาดของโครงการอยู่ในข่าย
ที่ต้องมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและผลกระทบทางสังคมก่อน
จึงจะสามารถตัดสินใจดำเนินการก่อสร้างหรือไม่
แต่โดยข้อเท็จจริงได้มีการดำเนินการออกแบบในรายละเอียดทางวิศวกรรมแล้ว จากการชี้แจงของเลขานุการคณะกรรมการติดตามมติครม.
๒๙ เมษายน ๒๕๔๐
แจ้งว่าทางกรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ
ได้เสนอรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมาแล้วและอยู่ในระหว่างทำข้อมูลเพิ่มเติม
โดยเฉพาะในประเด็นเรื่อง
ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมของตัวโครงการ
เช่น
หมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบนั้นอยู่ติดริมแม่น้ำ
ปัญหาพื้นที่รองรับหากมีการอพยพชาวบ้านในพื้นที
ที่ยังไม่ชัดเจน
รวมทั้งยังขาดรายงานผลกระทบทางสังคม
(SIA)
โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องป่าชุมชน
และการพบแหล่งโบราณคดีในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
๑.ระงับการดำเนินการโครงการใดๆ โดยเฉพาะการออกแบบในรายละเอียดทางวิศวกรรม
๒.ให้มีการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและทางสังคม
(EIA และ SIA)
โดยคณะกรรมการติดตามเขื่อนที่ยังไม่ได้สร้าง
๔ เขื่อน ที่มี ดร.วรวิทย์
เจริญเลิศ เป็นประธาน
และให้รัฐบาลจัดหางบประมาณสนับสนุนคณะกรรมการฯ
ชุดดังกล่าว
เพื่อให้ได้ผลศึกษาโดยเร็ว
๓.ให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโครงการฯ
ตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.๒๕๔๐
๒.๓ ฝายหัวนา
ข้อเรียกร้อง
๑.ระงับการดำเนินโครงการ
โดยต้องมีหลักประกันว่าจะมีการบังคับใช้ได้จริง
๒.ตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม และมาตรการการแก้ไขผลกระทบ
๓.ปักขอบเขตน้ำท่วม
และสำรวจผู้ได้รับผลกระทบ
และทรัพย์สินที่จะถูกน้ำท่วม
๔.เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมดให้กับชาวบ้าน
และสาธารณะรวมถึงสัญญาต่าง
ๆ ที่มี เช่น แบบเขื่อน ระบบชลประทาน ฯลฯ
รวมถึงสัญญาว่าจ้างการก่อสร้าง
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
๑.
โครงการมีขนาดพื้นที่
ที่จะต้องมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
๒.ขณะนี้การดำเนินการก่อสร้างโครงการใกล้แล้วเสร็จ
โดยบานประตูเสร็จแล้ว
และมีกำลังจะดำเนินการถมลำมูลเดิมเพื่อเก็บกักน้ำ
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
ควรระงับโครงการทั้งหมดไว้ก่อน
เพื่อศึกษาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
ดำเนินการโดยคณะผู้ศึกษาที่ไม่ใช่หน่วยงานเจ้าของโครงการ
โดยมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม(สผ.)
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดจ้างและกำกับการศึกษา หน่วยงานที่จะมาทำหน้าที่ศึกษาจะต้องเป็นสถาบันที่เป็นกลาง ทั้งนี้
ต้องมีตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่
ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าร่วมเป็นกรรมการกำกับ
และให้ผู้ทรงคุณวุฒิในสถาบันการศึกษาท้องถิ่นร่วมเป็นคณะศึกษา
ตามมาตรา ๕๖(๒)
ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ ในระหว่างการดำเนินการดังกล่าว
ควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ
เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดของโครงการตาม
พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐
รวมทั้งให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่คาดว่าจะเสียหายจากฝายหัวนา
ร่วมกับราษฎร
๓.กรณีป่าไม้-ที่ดิน
๓.๑
กรณีป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ทับที่ทำกิน
๓.๑.๑
กรณีปัญหาป่าสงวนฯ
ดงภูโหล่น บ้านหนองผือ
บ้านโนนสวรรค์
หมู่ที่ ๔ ต.นาโพธิ์กลาง
บ้านยางโสภา หมู่ ๗ ต.ห้วยไผ่
และ
บ้านห้วยไผ่
หมู่ ๑ ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้กำหนดและกันแนวเขตชุมชนออกให้ชัดเจน
๒.ให้ออกเอกสารสิทธิ์ให้ชาวบ้านที่เรียกร้องโดยเร่งด่วน
๓.ในระหว่างการดำเนินการห้ามมีการจับกุม
และขับไล่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบออกจากพื้นที่โดยเด็ดขาด
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
๑. มติครม. ๑๘
กุมภาพันธุ์ ๒๕๔๐
ให้จังหวัดอุบลราชธานี
เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง
และแก้ไขปัญหาให้กับราษฏรที่ได้รับ
ความเดือดร้อน
ให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน
แล้วมอบพื้นที่ให้กับ สปก.
นำไปปฏิรูปที่ดินตามขั้นตอน
๒.
คณะทำงานได้ดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์
และได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดพื้นที่
อำเภอโขงเจียมเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม
แต่ไม่สามารถดำเนินการปฏิรูปที่ดินได้
เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์
(โซนซี)
ข้อเสนอเพื่อการแก้ไขปัญหา
กรณีป่าดงภูโหล่นทับที่ทำกินและที่อยู่อาศัยบ้านหนองผือใหญ่และบ้านโนนสวรรค์
มีกระบวนการแก้ไขปัญหา
ตามขั้นตอนที่ตกลงลงกันระหว่างชาวบ้านกับส่วนราชการจนกระทั่งมีมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์
๒๕๔๐
เห็นชอบกับข้อตกลงดังกล่าวและเป็นแนวทางการแก้ปัญหาอย่างชัดเจน
แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลโดยมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑
ซึ่งทำให้กระบวนการแก้ไขปัญหายุติ
และทำให้การแก้ปัญหาป่าอนุรักษ์ทับที่ชาวบ้านต้องกลับไปตั้งต้นใหม่
ซึ่งเป็นสาเหตุที่สร้างความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับราชการมากยิ่งขึ้น
จึงมีข้อเสนอดังนี้
๑. พิจารณายกเลิกมติครม.
๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ โดยให้ใช้แนวทางการแก้ปัญหาโดยประชาชนมีส่วนร่วม
๒.กรณีบ้านหนองผือใหญ่และบ้านโนนสวรรค์
ให้กรมป่าไม้
เสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาปรับลดแนวเขตตามสภาพที่เป็นจริงจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
และดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
๓.
กรณีบ้านห้วยไผ่และบ้านยางโสภา
ใช้แนวทางการแก้ไขปัญหาเช่นเดียวกับ
บ้านหนองผือและบ้านโนนสวรรค์
๔.ในระหว่างการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินเดิม
ห้ามไม่ให้มีการจับกุม
อพยพ
ขับไล่ชาวบ้านโดยเด็ดขาด
๕.
ห้ามไม่ให้ชาวบ้านบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ใหม่โดยเด็ดขาด
๓.๑.๒ กรณีปัญหาอุทยานแห่งชาติผาแต้ม
บ้านหนองผือใหญ่
หมู่ที่ ๔ ต. นาโพธิ์กลาง อ.โขงเจียม
จ.อุบลราชธานี
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้กำหนดและกันแนวเขตชุมชนออกให้ชัดเจน
๒.ให้ออกเอกสารสิทธิ์ให้ชาวบ้านที่เรียกร้องโดยเร่งด่วน
๓.ในระหว่างการดำเนินการห้ามมีการจับกุม
และขับไล่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบออกจากพื้นที่โดยเด็ดขาด
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
๑. มติครม. ๒๒
เมษายน ๒๕๓๙
ให้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างสมัชชาคนจนกับส่วนราชการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
โดยมีหลักเกณฑ์คือ
ให้กันแนวเขตอุทยานแห่งชาติภูผาแต้มออกจากที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน, มติครม.๒๙ เมษายน ๒๕๔๐
ให้ตั้งคณะทำงานที่จังหวัดอุบลราชธานีแต่งตั้งขึ้นร่วมกับตัวแทนสมัชชาคนจนดำเนินการปรับแนวเขตอุทยานแห่งชาติ
และพิจารณาออกส.ป.ก. ๔
๐๑ให้แก่ราษฎรภายใน ๙ เดือน
๒.
คณะทำงานได้ดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์
ตามที่มติ ครม. ๒๙ เมษายน
๒๕๔๐
ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มีมติที่ประชุมคณะทำงานให้ปรับแนวเขตอุทยานผาแต้มตามโครงการปรับแนวเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้มพื้นที่ประมาณ
๔,๓๗๕ ไร่
และเพิ่มเติมอีกประมาณ ๒,๐๐๐
ไร่
เพื่อให้ครอบคลุมแปลงที่ทำกินของราษฎรทั้งหมด
และต่อมาอนุกรรมการป้องกันฯประจำจังหวัดได้ให้ความเห็นชอบ
ตามที่คณะทำงานเสนอมา
และดำเนินการตามขั้นตอน
จนกระทั่งปัจจุบันรอการพิจารณาของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ
๓. มติครม. ๓๐
มิถุนายน ๒๕๔๑ ทำให้กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวทางชาวบ้านมีส่วนร่วมกับฝ่ายราชการยุติลง
ข้อเสนอพิจารณาแก้ไขปัญหา
เนื่องจากกรณีดังกล่าวมีการเจรจาระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและดำเนินการร่วมกันจนกระทั่งมีมติ
คณะรัฐมนตรีให้กันแนวเขตอุทยานแห่งชาติออกจากที่ทำกินของราษฎร
ถึง ๒ มติ
และจากข้อเท็จจริงเคยมีข้อตกลงระหว่างกองอุทยาน
กรมป่าไม้กับ
ชาวบ้านและสภาตำบลนาโพธิ์กลางอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ปี
๒๕๓๑
แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล
ที่ใช้แนวทางการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในการแก้ไขปัญหา
โดยการออกมติคณะรัฐมนตรี
๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑
ทำให้กระบวนการมีส่วนร่วมที่ผ่านมายุติลง
คณะกรรมการกลางฯ
จึงเห็นว่า
รัฐบาลยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี
๓๐มิถุนายน ๒๕๔๐
และดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยใช้กระบวนการที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมดังที่เคยดำเนินมา
๓.๑.๓
กรณีปัญหาป่าสงวนแห่งชาติป่าดงหินกองและอุทยานแห่งชาติแก่ง
ตะนะทับที่
อยู่อาศัย
และที่ทำกินชาวบ้าน
บ้านเวินบึก บ้านท่าแพ
บ้านห้วย
หมากใต้
บ้านคันท่าไร่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ข้อเรียกร้อง
๑.
กรณีป่าสงวนแห่งชาติป่าดงหินกองทับที่อยู่อาศัย
๑.๑
ให้กันแนวเขตที่ตั้งชุมชนออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงหินกอง
๑.๒
ออกเอกสารรับรองสิทธิที่มั่นคงให้กับชาวบ้าน
๑.๓
ในระหว่างการแก้ไขปัญหาให้ทางราชการยุติการขับไล่
จับกุมและข่มขู่ ชาวบ้าน
๒.
กรณีอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะทับที่ทำกินชาวบ้าน
๒.๑
ให้กันเขตที่ทำกินของชาวบ้านออกจากพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะแล้วออกพระราชกฤษฎีกา
เพิกถอนอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะออกจากที่ทำกินของชาวบ้าน
๒.๒
ถ้าในที่ดินแปลงใดชาวบ้านมีเอกสารสิทธิ
โฉนด น.ส๓ก น.ส๓ ส.ค๑
ให้คงสิทธิของชาวบ้านไว้ตามกฎหมาย
หากที่ดินแปลงใดไม่มีเอกสารสิทธิให้ออกดังกล่าว
ส.ปก ๔-๐๑
๒.๓
ในระหว่างการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านเข้าทำกินในที่ดินเดิม
ห้ามไม่ให้มีการจับกุมดำเนินคดีและทำลายทรัพย์สินของชาวบ้านโดยเด็ดขาด
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
ชาวบ้านในชุมชนบ้านท่าแพ
บ้านเวินบึก
บ้านห้วยหมากใต้
บ้านคันท่าไร่ อ.โขงเจียม
ล้วนแล้วแต่เป็นชุมชนที่ก่อตั้งมาก่อนที่ทางราชการจะประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและเป็นอุทยานแห่งชาติ
โดยเฉพาะกรณีอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะทับที่
โดยทางอุทยานฯยอมกันชุมชนออกจากเขตอุทยาน
แต่ไม่ยอมกันที่ทำกินออกจากเขตอุทยาน
ซึ่งทำให้เป็นปัญหากับการดำรงอยู่ของชุมชน
ข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหา
คณะกรรมการกลางฯ เห็นว่า
แนวทางแก้ปัญหาควรให้ชุมชนที่เกิดปัญหาเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
โดยเคารพสิทธิของชุมชนตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ในพื้นที่ซึ่งไม่เคยมีการดำเนินการแก้ไขปัญหามาก่อนเช่นนี้
ควรใช้แนวทางการแก้ไขปัญหาตามกรณีอื่นที่เคยปฏิบัติมาโดยในกรณีบ้านท่าแพ
บ้านเวินบึก
บ้านห้วยหมากใต้
และแนวทางการแก้ไขปัญหาของบ้านหนองชาติ
ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี
ซึ่งถูกอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะทับที่อยู่อาศัยและถูกป่าสงวนแห่งชาติป่าดงหินกองทับที่ทำกินเป็นแนวทาง
ดังนี้
๑.ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี
๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑
ซึ่งปิดกั้นชาวบ้านไม่ให้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง
คนกับป่า
๒.ตั้งคณะกรรมการร่วมในการรังวัดปักแนวเขตเพื่อกันพื้นที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของราษฎรออกจากพื้นที่ตามกฎหมายป่าไม้
๓.ออกเอกสารรับรองสิทธิที่มั่นคงให้กับราษฎรตามสิทธิที่ชาวบ้านพึงจะได้
และห้ามไม่ให้ราษฎรบุกรุกพื้นที่ใหม่เพิ่มเติมโดยเด็ดขาด
๔.
ในระหว่างการแก้ไขปัญหา
ห้ามไม่ให้มีการข่มขู่คุกคามจับกุมคุมขังราษฎร
หรือกระทำการใดๆที่เป็นการริดรอนสิทธิ
โดยเฉพาะในเรื่องของการอยู่อาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินเดิมของราษฎร
๓.๑. ๔ กรณีปัญหาป่าสงวนแห่งชาติป่าหลังภู
บ้านด่านเก่า
บ้านด่านใหม่
บ้านหัวเหว่พัฒนา
บ้านคำผักกูด บ้านคอนหมู
อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้กันแนวเขตออกจากที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านให้ชัดเจน
๒.ให้มีการออกเอกสารสิทธิ์ให้กับราษฎรที่เรียกร้อง
๓.ระหว่างรอการดำเนินงาน ให้ยุติการข่มขู่
จับกุม
และขับไล่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบโดยเด็ดขาด
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
๑. มติครม. ๒๒
เมษายน ๒๕๓๙
ให้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างสมัชชาคนจนกับตัวแทนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
มติครม. ๑ เมษายน ๒๕๔๐
กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาโดยให้ตรวจสอบรังวัดปรับเขตแนวป่าอนุรักษ์ให้แล้วเสร็จภายใน
๑
เดือนแล้วส่งเรื่องให้กรมป่าไม้เสนอ
ครม.เพื่อให้ความเห็นชอบและส่งมอบที่ดินให้สปก.ภายใน
๑๕ วัน
เพื่อดำเนินการปฏิรูปที่ดินออกสปก.
๔-๐๑แก่ราษฎรภายใน ๙ เดือน
นับแต่วันที่กรมป่าไม้ส่งมอบพื้นที่
๒. มติ ครม. ๓๐
มิถุนายน ๒๕๔๑
ที่ให้อพยพคนออกจากป่า
จึงทำให้กระบวนการแก้ไขปัญหายุติลง
ข้อเสนอแนะ
๑.
ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี
๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑
๒.
กรณีบ้านด่านใหม่
บ้านด่านเก่า บ้านคอนหมู
บ้านหัวเห่วพัฒนา
บ้านห้วยสะคราม
ที่เคยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีการรังวัดแปลงที่ดินแล้วให้ดำเนินการต่อเนื่องจากเดิม
ตามมติคณะรัฐมนตรี ๑เมษายน
๒๕๔๐
๓.
ส่วนกรณีบ้านคำผักกูดให้ใช้แนวทางที่เคยดำเนินการกับชาวบ้านในข้อ
๒
๔.
ให้ยุติการดำเนินคดีกับชาวบ้าน
และในระหว่างการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านอยู่อาศัย
และทำกินในที่ดินเดิมห้ามบุกรุกเพิ่มเติม
๓.๑.๕ กรณีปัญหาป่ากุดชมภูและโครงการสปก.ทับที่ทำกิน
ต.คำเขื่อนแก้ว
อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้รังวัดกันเขตชุมชนและที่ทำกินของชาวบ้านออกจากเขตป่ากุดชมภู
๒.ให้ยกเลิกโครงการ
สปก.
ทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน
๓.ให้คืนกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิมที่ออกเป็น
สปก. ให้กับชาวบ้าน
โดยออกเอกสารสิทธิ์ที่มั่นคงให้กับชาวบ้าน
เพื่อป้องกันมิให้โครงการต่างๆ
ประกาศทับ
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
ปัญหาจากการกำหนดเขตป่าชุมชน
และการออกสปก.ในพื้นที่ดังกล่าว
ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน
และไม่ได้มีโอกาสในการรับรู้ข้อมูล
จึงทำให้เกิดความสับสนในประเด็นต่างๆ
เช่น การออกสปก. ๔-๐๑
นั้นจะทับที่กินที่มีเอกสารสิทธิ์อยู่แล้วหรือไม่ และการกำหนดเขตป่าชุมชนที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีผลกระทบต่อที่ดินทำกินที่มีอยู่
ข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหา
คณะกรรมการกลางฯ มีมติ
ให้ตั้งคณะทำงานร่วม
ระหว่างราชการกับตัวแทนชาวบ้านในสัดส่วนที่เท่ากัน
เพื่อดำเนินการต่อไปนี้
๑.กันแนวเขตป่าชุมชนออกจากที่อยู่อาศัย
ที่ดินทำกินของชาวบ้าน
๒.หากพื้นที่ทำกินของชาวบ้านแปลงใดที่มีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินให้คงสิทธินั้นไว้ตามกฎหมาย
๓.หากที่ดินแปลงใดมีการครอบครองทำประโยชน์และไม่มีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน
แต่อยู่ในเกณฑ์ที่จะออก ส.ป.ก.
๔๐๑ ได้ ให้เร่งดำเนินการออก
ส.ป.ก. ๔๐๑
๓.๒
กรณีปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์
๓.๒.๑
กรณีปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์บ้านตุงลุง
บ้านตุงลุง ต.โขงเจียม
อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ข้อเรียกร้อง
๑.ให้กันแนวเขตให้ชาวบ้านครอบครัวละ
๒ ไร่
และออกเอกสารสิทธิ์ให้
๒.ให้จัดตั้งเป็นหมู่บ้านที่ถูกต้องตามกฎหมาย
และจัดหาสาธารณูปโภคให้ตามสภาพหมู่บ้านทั่ว
ๆ ไปพึงจะมี
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
ประเด็นนี้เป็นปัญหาของชาวบ้านซึ่งได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนปากมูล
โดยเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในลักษณะน้ำล้อม
ทำให้ชาวบ้านดังกล่าวไม่สามารถสัญจรไปมาและทำมาหากินได้ตามวิถีชีวิตปกติได้
แต่มีปัญหาเรื่องการชดเชยความเดือดร้อน
เนื่องจากที่ดินดังกล่าวไม่ได้ถูกน้ำท่วมจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชย
ปัจจุบันชาวบ้านกลุ่มนี้ได้เข้าไปอยู่อาศัย
ในที่ดินสาธารณประโยชน์บ้านตุงลุง
แทนที่อยู่เดิม
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
ต้องพิจารณาช่วยเหลือตามสภาพปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจริง
โดยในระหว่างการดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริง
ให้ยุติการดำเนินคดีชาวบ้านทั้งหมด
และให้ชาวบ้านอยู่อาศัยในบริเวณเดิมโดยห้ามการบุกรุกเพิ่มเติม
และอนุมัติจัดตั้งให้เป็นหมู่บ้านตามกฎหมาย
จัดหาสาธารณูปโภคให้ตามสภาพหมู่บ้านทั่วไป
๓.๒.๒
กรณีปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์บ้านวังใหม่
ทับที่อยู่อาศัย
ทับที่ทำกิน
บ้านวังใหม่ ต.หนองแสงใหญ่
อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ข้อเรียกร้อง
ต้องการให้ออกเอกสารสิทธิ์ให้กับชาวบ้านที่ได้รางวัดที่ดินไปแล้ว
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
๑. มติครม. ๒๒ เม.ย.๒๕๓๙
เห็นชอบตามผลเจรจากับกลุ่มสมัชชาคนจนตามข้อเรียกร้องในการแก้ปัญหา
โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งคณะทำงาน
มีตัวแทนชาวบ้านร่วมตรวจสอบ
จัดทำแนวเขต
พร้อมพิสูจน์สิทธิ์การอยู่อาศัย ซึ่งจังหวัดได้สรุปแนวทางแก้ไขเสนอคณะรัฐมนตรีมีมติครม.
๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๙
เห็นชอบตามแนวทางของจังหวัดคือ
เห็นควรให้ช่วยเหลือราษฎรโดยการออกกฎหมายกันพื้นที่
ที่ราษฎรเข้าอยู่อาศัยและทำกินจริงออกจากพื้นที่สาธารณประโยชน์
เพื่อพิจารณาออกเอกสารสิทธิ
และพื้นที่ที่เหลือให้คงสภาพเป็นที่สาธารณประโยชน์เช่นเดิม
๒. วันที่ ๓๑
มกราคม ๒๕๔๐
ที่ประชุมระหว่างทางราชการ
และตัวแทนสมัชชาคนจนโดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย(นายไพโรจน์
โล่ห์สุนทร) เป็นประธาน
ได้พิจารณาปฏิบัติตามมติ
ครม. ๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๙ คือ
ให้กรมที่ดินพิจารณาถอนสภาพในที่ดินซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์และออกเอกสารสิทธิ์แก่ราษฎร
๓.
อำเภอโขงเจียมได้ให้สภาตำบลสำรวจความคิดเห็นราษฎรที่ใช้ประโยชน์
พบว่า
ราษฎรยังใช้ประโยชน์ร่วมอยู่
แต่เห็นสมควรให้ดำเนินการถอนสภาพเฉพาะบริเวณที่เป็นที่ตั้งบ้านเรือน
ซึ่งนายอำเภอเห็นชอบตามมติสภาตำบลดังกล่าวนี้
๔. ต่อมา
จังหวัดได้มีหนังสือด่วนที่สุด
ที่ อบ ๐๐๒๒/๔๐๘๑ ลงวันที่ ๒๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
ให้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนใหม่
และสภาตำบลหนองแสงใหญ่
ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยใช้แบบสอบถาม
ปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการเพิกถอนที่ดินสาธารณะทั้งหมด
อำเภอโขงเจียมจึงไม่ดำเนินการเพิกถอนที่สาธารณประโยชน์
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
ให้สั่งการจังหวัดประสานงานกับองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแสงใหญ่
และตัวแทนชาวบ้าน
ให้มีการพิจารณาสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงนี้อีกครั้งเพื่อให้เป็นที่ยุติ
๓.๓
กรณีปัญหาโครงการพัฒนาของรัฐ
๓.๓.๑
กรณีปัญหาโครงการพัฒนาด่านช่องเม็ก
อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี
(ส่วนที่ ๑
ชุมชนตลาดชุมชนช่องเม็ก
ส่วนที่ ๒
ชุมชนบ้านเหล่าอินแปลง)
ข้อเรียกร้อง
๑.กรณีชุมชนบ้านเหล่าอินแปลง
ต้องการให้กันที่อยู่อาศัย
และที่ดินทำกินออกจากโครงการพัฒนาด่านช่องเม็ก
ให้ปักเขตแดนให้ชัดเจน
และออกเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองด้วย
๒.กรณีชุมชนช่องเม็กให้อยู่อาศัยในที่ดินเดิม
ออกเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองและให้รัฐจัดสาธารณูปโภคในชุมชนช่องเม็ก
ประมวลข้อเท็จจริงและความเห็น
โครงการพัฒนาด่านช่องเม็กมีปัญหาเรื่องข้อมูลและความชัดเจน และเกี่ยวข้องกับหน่วย
ราชการหลายแห่ง
เช่น การเคหะแห่งชาติ กรมธนารักษ์
และกรมป่าไม้
ตลอดจนหน่วยงานในระดับท้องถิ่น
เช่น เทศบาล เนื่องจากกรมป่าไม้ได้อนุมัติให้โครงการพัฒนาด่านช่องเม็กใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
เพื่อพัฒนาด่านชายแดนไทย-ลาว
โดยให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ภายใต้การดูแลของกรมธนารักษ์ และต่อมาการเคหะแห่งชาติได้เข้าปลูกสร้างอาคารพาณิชย์
เพื่อให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านและค้าขายกับชาวลาวแต่เดิม
จนหมู่บ้านเจริญขึ้นเป็นเขตเทศบาลตำบล ข้อเสนอของทางราชการคือ
การให้ย้ายไปค้าขายที่อาคารพาณิชย์ดังกล่าว
โดยมีปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมแรกเข้าและสถานที่อยู่ใหม่นั้น
ชาวบ้านไม่สามารถขายของที่ขายอยู่เดิมได้
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการกลางฯ
เห็นว่า
การเสนอให้ชาวบ้านย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในอาคารของการเคหะไม่สามารถ
ทดแทนวิถีชีวิตเดิมในการค้าขายของชาวบ้านได้
และต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง
และชุมชนที่เป็นตลาดเคยสร้างรายได้ให้แก่รัฐจนกระทั่งขยายเป็นตลาดชายแดน
รัฐบาลจึงควรมีมาตรการในเชิงตอบแทน
ไม่ควรมีท่าทีในการขับไล่ โดยมีข้อเสนอคือ
กรณีชุมชนช่องเม็ก
๑.ในระหว่างที่มีการดำเนินการสอบสวนสิทธิ์ครอบครองและการใช้ประโยชน์ที่ดินอยู่
ควรให้ชาวบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินเดิมไปก่อน
๒.ให้คณะกรรมการระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณาโครงการดังกล่าว
โดยให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์ที่ดินและการวางแผนโครงการพัฒนาด่านช่องเม็ก
กรณีบ้านเหล่าอินทร์แปลง
คณะกรรมการกลางเห็นว่า
ให้ดำเนินการต่อจากเดิมที่ได้มีกระบวนการระหว่างตัวแทนชาวบ้านกับทางราชการในเรื่องกันพื้น
ที่บ้านเหล่าอินทร์แปลงออกจากโครงการพัฒนาด่านช่องเม็ก
โดยให้หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบเร่งรัดในการปฏิบัติ โดยใช้หลักการให้ชาวบ้านเข้าไปมีส่วนร่วม
|