สมัชชาดื้อแพ่งร้องเปิดเขื่อนปากมูล
สยามรัฐ 19 มค 46
http://www.siamrath.co.th/DetailHeadline.asp?ReviewID=22334&Col=1&DateR=19/1/2546
สมัชชาดื้อแพ่งร้องเปิดเขื่อนปากมูล ครป.ไม่สนนายกฯลุยยื่นหนังสือยูเอ็น
สมัชชาคนจนดื้อแพ่ง
ยืนกรานให้รัฐบาลเปิดเขื่อนปากมูลถาวร
โต้ผลสำรวจของสำนักงานสถิติฯ
มั่วนิ่ว
เพราะไม่ได้นำความเดือนร้อนของประชาชนในพื้นที่ไปพิจารณา
ประกาศยึดข้างทำเนียบทำหมู่บ้านคนจน
เลขาฯครป.ติงนายกฯอย่าเพิ่งตีโพยตีพายกรณีองค์กรประชาธิปไตยยื่นหนังสือถึงยูเอ็น
ยันรัฐใช้ความรุนแรงสลายม็อบท่อก๊าซ
เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2546
นายนันทโชติ ไชยรัตน์
ที่ปรึกษาสมัชชาคนจนเปิดเผยว่า
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีประกาศจะเปิดเขื่อนปากมูล
4 เดือนและปิด 8
เดือนตามผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ชาวบ้านปากมูลยืนยันว่าไม่เห็นด้วยเพราะการสำรวจนั้นทำในระยะเวลาอันสั้นและไม่ใช่การสำรวจความคิดเห็นของชาวบ้านทั้งหมด
มีการสำรวจความเห็นของชาวบ้านนอกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล
ดังนั้นชาวบ้านจะมีการชุมนุมต่อไปโดยจะเปิดเป็นหมู่บ้านคนจน
ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันอังคารที่
21
มกราคมนี้โดยจะแถลงข่าวเรื่องพิธีเปิดหมู่บ้านคนจนในวันที่19
ม.ค.
เรายืนยันไม่เห็นด้วยกับการเปิดเขื่อน
4 เดือนปิด 8 เดือน
การเปิดหมู่บ้านเพื่อทำความเข้าใจกับสาธารณชนว่าการเปิดเขื่อนปากมูลถาวรมีผลดีอย่างไร
นายนันทโชติยังเปิดเผยด้วยว่า
ในวันจันทร์ที่ 20 ม.ค.นี้
สำนักงานสถิติแห่งชาติได้นัดกลุ่มชาวบ้านไปเพื่ออธิบายเรื่องผลการสำรวจที่ระบุว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการเปิดเขื่อนเพียง
4 เดือนที่หอประชุม
กรมประชาสัมพันธ์ ในเวลา 09.00
น.ซึ่งชาวบ้านจะเดินทางไปขอรับทราบข้อมูลการสำรวจที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์
ในขณะที่ข้อมูลของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ใช้เวลาเป็นปีกลับไม่ได้รับการยอมรับ
นายสุริยะใส กตะศิลา
เลขาธิฯครป. กล่าวว่า
กรณียื่นหนังสือต่อสหประชาชาติ
นายกไม่ควรตีโพยตีพาย
หรือออกอาการร้อนตัวมากมายขนาดนี้
เพราะการดำเนินการขององค์กรประชาธิปไตยและองค์กรสิทธิมนุษยชนจะยืนอยู่บนข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ
สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
ซึ่งเราจะรวบรวมและประมวลจากเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆ
ที่เกิดขึ้นจริงไม่ว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน
การละเมิดสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
กระทั่งสิทธิของชุมชนตามรัฐธรรมนูญ
กรณีการปราบปรามประชาชนที่หาดใหญ่
จ.สงขลา
ที่การไต่สวนเหตุการณ์ของทั้งคณะกรรมการสิทธิฯ
และคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมวุฒิสภา
พบข้อมูลใหม่ๆ
ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการปราบปราประชาชนที่เตรียมการโดยภาครัฐ
ข้อเท็จจริงตรงนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นายกหวาดวิตกและเกรงว่าจะไม่สามารชี้แจงสหประชาชาติให้เกิดความกระจ่างได้
เลขาฯครป. กล่าว และว่า
ก็เลยพยายามกล่าวหาการดำเนินการขององค์พัฒนาเอกชนด้านสิทธิฯ
ว่าไม่รักชาติและจะส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุน
นายสุริยใส กล่าวว่า
ตนคิดว่านายกกำลังเบี่ยงเบนประเด็นเพราะถ้ารัฐบาลปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของ
พลเมืองและสิทธิมนุษยชนที่ประเทศเราร่วมลงนามเมื่อ
ปี 2542 แล้ว
รัฐบาลก็ไม่ต้องกลัวว่าจะกระทบกับการค้าการลงทุน
แต่ถ้ามันจะกระทบจริงก็คงเกิดจากการบริหารแผ่นดินของรัฐบาลเองนั่นแหละที่ไม่เคารพ
ข้อตกลงระหว่างประเทศหรือไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
เลขาฯ ครป. กล่าวว่า
รัฐบาลสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสหประชาติได้อยู่แล้วเพราะปีนี้มีตัวแทนจากรัฐบาลไทยนั่งเป็นกรรมการ
ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติอยู่ด้วย
อาจเป็นไปได้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถชี้แจงต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนประจำสหประชาชาติได้
ก็เลยหากทางกลาวหาว่าการดำเนินการขององค์กรพัฒนาเอกชนไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นไทย
สำหรับการดำเนินการขององค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนทำมาเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว
ซึ่งถ้าเรื่องไหนรัฐบาลเยีวยาหรือคลี่คลายสถานการณ์ได้เราก็ไม่จำเป็นต้องรายงานแต่เรื่องที่รายงานส่วนใหญ่ภาครัฐละเลย
หรือลงมือละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยตัวเองเช่นกรณีปัญหาท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์
หรือปากมูล เป็นต้น
ด้าน นายบุญแทน
ตันสุเทพวีรวงศ์
รองประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย(ครป.)
กล่าวถึงความคืบหน้า
กรณีกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอจะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
องค์การสหประชาชาติกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยว่า
ยังไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอน
แต่จะอยู่ในช่วงระหว่างวันที่
10-14 ก.พ.หรือช่วงต้นเดือน เม.ย.ซึ่งระหว่างวันที่
17 มี.ค.-24 เม.ย.
จะมีการประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น
ที่กรุงเจนีวา
กลุ่มเอ็นจีโออาจส่งตัวแทนไปยื่นหนังสือในช่วงดังกล่าว
ทั้งนี้กลุ่มเอ็นจีโอจะมีการแถลงข่าว
เรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจนในวันที่
6 ก.พ.ที่จะถึงนี้ที่อนุสรณ์สถาน
14 ตุลา
โดยประเด็นเหตุการณ์ทำร้ายชาวบ้านที่ต่อต้านท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย
จะเป็นประเด็นหนึ่งที่จะหยิบยกไปยื่นหนังสือต่อสหประชาชาติ
โดยกลุ่มเอ็นจีโอจะรอรายงานสอบสวนจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย
กรณีท่อก๊าซ ปากมูล
หรือการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อเป็นเรื่องส่วนรวมส่งผลสะเทือนต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
ในรอบ 2
ปีมีรายงานแนวโน้มเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศที่ไม่ดี
รุนแรงขึ้นภาครัฐไม่สนใจแก้ปัญหารูปธรรมอ้างแต่เสียงโหวตไม่สนใจข้อมูลเชิงคุณภาพ
เรื่องความขัดแย้งจะนำพาไปสู่ความรุนแรงมากขึ้น
ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสังคมในอนาคต
นายกรัฐมนตรีพยายามทำให้เห็นว่านักวิชาการเป็นเรื่องตลก
ข้อมูลนักวิชาการเป็นเรื่องโจ๊ก
ขณะที่ปากก็พูดว่าเราต้องใช้ภูมิปัญญา
แต่พอมีนักวิชาการมาพูดนายกรัฐมนตรีก็สวนกลับไป
นายกรัฐมนตรีต้องสำรวมและใช้สติสัมปชัญญะบริหารประเทศให้มากกว่านี้
รองประธาน ครป. กล่าว
นายบุญแทน
กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลระบุการยื่นหนังสือต่อสหประชาชาติจะส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของประเทศว่า
การห่วงแต่ภาพพจน์ของประเทศโดยไม่แก้ปัญหาในประเทศเป็นเรื่องที่ผิดปกติ
หากรัฐบาลไม่อยากให้ภาพพจน์เสียหายก็ควรทำตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาคมโลก
นายกรัฐมนตรีต้องคำนึงเรื่องสิทธิมนุษยชน
ไม่ใช่คำนึงแต่เรื่องภาพพจน์แต่ไม่ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวหรือไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าอาจเป็นเหตุให้ต่างชาติหยิบยกมากีดกันสินค้านั้น
รองประธาน ครป.ระบุว่า
เรื่องสิทธิมนุษยชนกับเรื่องการค้าเป็นคนละเรื่องกัน
จริงอยู่ที่บางประเทศอาจยกมาอ้าง
ซึ่งรัฐบาลก็มีหน้าที่จะชี้แจงให้ประเทศนั้นเข้าใจ
แต่รัฐบาลจะเอาเรื่องผลกระทบจากการกีดกันทางการค้ามาเป็นข้ออ้าง
ไม่ส่งเสริมหรือปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลไม่ได้
ไม่เช่นนั้น
เราจะเข้าไปเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก(WTO)
เพื่ออะไร
เรามีเวทีการค้าเสรีเพื่อแก้ปัญหาการค้าอยู่แล้ว
ด้านนายวันมูหะมัด นอร์
มะทา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
มอบเสื้อเกราะกันกระสุน 36
ชุด
ให้กับตำรวจชุดปฏิบัติการติดตามจับกุมคนร้ายที่มีหมายจับของศูนย์ปฎิบัติการตำรวจภูธรภาค
9 ส่วนหน้าจังหวัดยะลา
เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ในการปฎิบัติงานกวาดล้างกลุ่มกาอการร้ายตามแผนรักษาความสงบเรียบร้อยหรือที่เรียกว่า
แผนพิทักษ์ราษฎร 46
นายวันมูหะมัด กล่าวอีกว่า
จากการรับฟังผลการปฏิบัติงานตำรวจภูธรภาค
9 ส่วนหน้าจังหวัดยะลา
ดูแลรับผิดชอบด้านก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้
พบว่าสถานการณ์ดีขึ้น
ความรุนแรงลดลง
ไม่มีคดีเกี่ยวกับการก่อการร้าย
คดีที่เกิดเป็นคดีอาชญากรรมธรรมดา
อย่างไรก็ตาม
การแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างจริงจังต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง
และเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่
ส่วนกรณีกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนเตรียมยื่นหนังสือให้กับองค์การสหประชาชาติกรณีปัญหาท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
กล่าวว่า
เป็นเรื่องที่สามารถดำเนินการได้
แต่สิ่งที่อยากจะเตือนเป็นเรื่องภายในประเทศ
การกระทำดังกล่าวสมควรหรือไม่
และรัฐบาลเป็นรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน
ไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการ
การดำเนินการเรื่องท่อก๊าซที่ผ่านมาเพื่อที่จะรักษากฎหมายบ้านเมือง
กลุ่มเอ็นจีโอ ควรคิดให้ดี
แต่ถ้ายื่นไปทางรัฐบาลก็พร้อมจะชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น
และว่าการเดินทางไปปฎิบัติภารกิจเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในพื้นที่อำเภอ
เทพาและอำเภอจะนะ
จังหวัดสงขลา
ได้รับการต้อนรับจากประชาชนในพื้นที่อย่างอุ่นใจ
ไม่ได้ไปเกี่ยวกับเรื่องปัญหาท่อก๊าซ
วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร นายกรับมนตรี
กล่าวในรายการ นายกฯ
ทักษิณ คุยกับประชาชน
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
มีความตอนหนึ่งว่าขอยืนยันว่า
รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่เปิดเผย
ตรงไปตรงมา
พร้อมที่จะให้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทุก
อย่าง ไม่ปกปิด
อะไรที่ทำไปนั้นมันไม่มีทางดีขึ้นในชั่วข้ามคืน
มันต้องใช้เวลา
มันก็จะพัฒนา ขึ้นไปเรื่อยๆ
ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
ดีไม่ดีประชาชนจะเป็นคนตอบ
พอครบ 4 ปี ประชาชนก็จะตอบว่า
รัฐบาลที่แล้วดีไหม
ถ้าดีก็จะเลือกต่อไป
ถ้าไม่ดีก็ไม่เลือก
นี่คือหลักปกติของระบอบประชาธิปไตย
รัฐบาลก็มีหน้าที่ทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า
อีกวัตถุประสงค์หนึ่งก็คือ
ตนเอง รัฐมนตรี
และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
จะได้ไปพบ ประชาชน
ไปดูของจริง
ได้ไปพูดคุยกับเขา
ไปรับเสียงสะท้อนไปรับความรู้สึกว่าเขายังมีความเดือดร้อนเรื่องอะไร
มีความต้องการอะไร
ทุกครั้งที่ไป
จะได้รับเอกสารทั้งเรื่องของ
การร้องเรียน
การขอความช่วยเหลือ
การขอความสนับสนุน เยอะมาก
แล้วตนก็จะบอกกับทีมงาน
ของตนว่าเขาอุตส่าห์เขียน
เขาอุตส่าห์ทำมา
เพราะฉะนั้นจะต้องใช้ความจริงจังในการพิจารณา
อะไรที่ทำให้เขาได้ต้องทำ
บางทีบางครั้งก็มีจดหมายน้อยๆ
ของชาวบ้านเขียนใส่มือให้ตนมา
รับมาแล้วก็ไปแอบอ่านเพราะมันเป็นคงวามลับของชาวบ้านเขา
พอไปดูก็ปรากฏว่าเป็นเบาะแส
ในเรื่องของยาเสพติดและหลายครั้งเราก็จับได้
ความใกล้ชิดของรัฐบาลกับประชาชนเป็นความจำเป็น
ถ้ารัฐบาลมีความใกล้ชิดกับประชาชน
มากเท่าไร
ความรู้จริงของปัญหาก็จะมากขึ้นเท่านั้น
การแก้ปัญหาก็จะถูกจุดมากขึ้นเท่านั้น
และ
การประหยัดค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาที่ถูกจุดนั้นจะส่งผลดีต่อประเทศในระยะยาวด้วย
โครงการรัฐบาลพบประชาชนนี้ก็จะทำไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ก็จะทำเดือนเว้นเดือน
เพื่อที่จะได้มี
โอกาสเข้าไปสัมผัสกับพี่น้องประชาชนในภูมิภาคต่างๆ
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว |